ส.อ.ท.จับมือธปท.สร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย เร่งปลดล็อกอุปสรรคทางการเงิน ดูแลค่าเงินบาทหาจุดสมดุล ชงจัดซอฟท์โลนลดผลกระทบ SME
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังหารือร่วมกับ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท. )เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงของประเทศว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการรับมือผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การส่งเสริมการ
เปิดตลาดใหม่ การกระตุ้นและพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาหนี้และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ การลดต้นทุนพลังงาน มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน รวมทั้งความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท วันนี้ได้มาพบปะและหารือร่วมกัน จะได้หาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้น ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้
ทั้งนี้ได้นำเสนอนโยบายการขับเคลื่อนของ ส.อ.ท. ด้วยการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ไปสู่การสร้างเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ผ่านการเปลี่ยนการผลิตจาก OEM-Original Equipment Manufacturer (ผู้ผลิตตามสั่งแบรนด์อื่น) เป็น ODM-Original Design Manufacturer (ผู้ผลิตที่ออกแบบเองด้วย) หรือ OBM-Original Brand Manufacturer (ผู้ผลิตและทำแบรนด์เอง) เปลี่ยนการใช้แรงงาน มาใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เช่น ดิจิทัล AI และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น เปลี่ยนการผลิตเพื่อกำไร มาเป็นการผลิตเพื่อความยั่งยืน และเปลี่ยนจาก Unskilled Labour มาเป็น High-skilled Labour ผ่านกลไก Pay by skills
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังดำเนินงานภายใต้แนวคิด 4GO เพื่อยกระดับ SMEs ประกอบด้วย 1. Go Digital & AI ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใช้เทคโนโลยี Digital และ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเจาะตลาด e-Commerce
2. Go Innovation สร้างผู้ประกอบการ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรม โดยการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และใช้เทคโนโลยี Automation & Robotic เพื่อลดต้นทุนการผลิต 3.Go Global ยกระดับมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก เชื่อมโยง Global Supply Chain และกระจายการส่งออกไปยังตลาดในภูมิภาคอื่นๆ ควบคู่การพัฒนาแบรนด์สินค้าไทยให้เป็นสากล
และ 4.Go Green ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และบรรลุเป้าหมาย Net Zero โดยปรับกระบวนการผลิตและใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างจุดแข็งของสินค้าผ่าน เทรนด์รักษ์โลกและใช้โอกาสจากนโยบายส่งเสริม BCG Model รวมถึงพัฒนาองค์กรให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG
นายเกรียงไกร กล่าวถึง ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลให้ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบต้องบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ เนื่องจากค่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออก โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศคู่แข่งเผชิญมาตรการ Reciprocal Tariff โดยประเทศพึ่งพาการส่งออก 60% ของ GDP และจากภาคท่องเที่ยว 10% ของ GDP
หากค่าเงินบาทแข็งเกินไป เป็นเรื่องที่ กกร.ส่งสัญญาณเรื่องนี้ตลอด เพราะประเทศต้องค้าขายต่างชาติ ถ้าบาทแข็ง ก็สร้างแรงกดดันต่อภาคส่งออกทันที สินค้าแพงขึ้น และยังกระทบการท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นจึงต้องหาจุดสมดุลปรับค่าเงินบาทอย่าให้แข็งเกินไป โดยปัจจุบันยังขาดการ “Connect the Dots” ระหว่างหน่วยงานผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท ไม่ว่าจะเป็นธปท. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมศุลกากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการประชุมที่ ธปท. ได้มาพบปะกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นที่แรกแบบฟูลทีม จริงๆ แล้ว เราทำงานกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง และทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เราจะทำงานร่วมกับภาคธุรกิจมากขึ้นอีก เพื่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
สำหรับภารกิจหลักของ ธปท. คือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1. สร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดและให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง 2. สร้างเสถียรภาพทางระบบสถาบันทางการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงิน
และ 3. สร้างเสถียรภาพทางระบบการชำระเงิน ดูแลให้มีระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุผล
“วันนี้ เราอยู่ในจุดที่เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจต่างๆ เหมือนกัน และเราจะหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระดับที่เหมาะสม และเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศดำรงอยู่ได้ ”
นายวิทัย กล่าวว่า ธปท. มุ่งรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และไม่ให้ผันผวนมากจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบ ตลอดจนผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้าน นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ได้ หารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมกังวล คือ การใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่รายการสินค้ามีการบังคับใช้ที่ต่างกัน บางรายการบังคับใช้แล้ว บางรายการอยู่ระหว่างไต่สวน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วนไม้อัด ไม้บาง และวัสดุแผ่น เฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม หล่อโลหะเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนวทางการรับมือผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯภาครัฐควรสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้สามารถรองรับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันมาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว (Transformation) ของธุรกิจและปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมกับหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ และการเปิดตลาดใหม่ได้ โดยสินเชื่อพิเศษดังกล่าวจะมุ่งช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวทางธุรกิจและปรับ Supply Chain ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านมูลค่าเพิ่มในประเทศ (RVC) ของสหรัฐฯ รวมถึงสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันมีแนวทางในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท เพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนหรือแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)
ด้าน นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า อยากให้มีมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs จัดให้มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบมีเป้าหมาย เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินจาก ธปท. ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หากปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ประกอบการด้านการส่งออก นวัตกรรม หรือธุรกิจสีเขียว
นอกจากนี้ ยังเสนอให้สร้าง “ระบบเครดิตทางเลือก” ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลยอดขายผ่าน e-commerce ข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม และการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าแรงของธุรกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ “ธุรกิจสีเขียวและดิจิทัล” ด้วยการออกกรอบสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ 2%
สำหรับ SME ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด การลดคาร์บอน ระบบอัตโนมัติ หรือการทำ Digital Transformation พร้อมปรับลดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาค SME อีกทั้งยังเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการขยายพอร์ตการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จาก 30% เป็น 40% หรือปรับลดระยะเวลาการค้ำประกันต่อพอร์ตโฟลิโอลงจาก 10 ปี เหลือเพียง 5–7 ปี เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึงแหล่งทุน
และเสนอให้จัดตั้ง “กองทุน SME” เพื่อใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ลดอุปสรรคเรื่องหลักประกันและขั้นตอนที่ซับซ้อน มีอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้กองทุนสามารถนำเงินหมุนเวียนกลับมาใช้ช่วยเหลือ SME รายอื่นต่อไป รวมถึงใช้ในการบริหารจัดการหนี้เสีย (NPL) อย่างมีประสิทธิภาพ