เอกชนไม่เอากฎหมายแรงงานใหม่ชี้ทำต้นทุนพุ่งหนีปิดกิจการ

เอกชนไม่เอากฎหมายแรงงานใหม่ชี้ทำต้นทุนพุ่งหนีปิดกิจการ
สภาหอการค้าฯ คัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ ชี้ลดชม.ทำงาน เพิ่มวันลา ซ้ำเติม SME เสนอรับฟังความเห็นนายจ้างอย่างรอบด้าน

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย   เปิดเผยว่า ทางหอการค้าไทยได้รับข้อร้องเรียนและความกังวลจากสมาชิกทั่วประเทศ ทั้งจากหอการค้าจังหวัด 5 ภูมิภาค หอการค้าต่างประเทศ และสมาคมการค้ามากกว่า 20 สมาคม ที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านกับ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่ สภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรับหลักการทั้ง 2 ฉบับ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้สภาหอหอการค้าแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร) ได้ทำหนังสือคัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ประธานรัฐสภา  รมว.แรงงาน และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีหลายมาตราที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพิ่มภาระต้นทุนการจ้างงานให้กับนายจ้างในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน อีกทั้งยังขาดการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนและสมาคมนายจ้างอย่างรอบด้าน

“สภาหอการค้าฯ เห็นว่า การจัดทำกฎหมายแรงงานควรรับฟังความเห็นทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างอย่างเป็นธรรม เพื่อไม่ให้กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน บรรยากาศการลงทุน และเศรษฐกิจไทยในภาพรวม” ดร.พจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตามภาคเอกชนเรายืนยันที่จะสนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากลหรือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา และการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  ซึ่งการปรับลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 ชั่วโมง เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

รวมถึงการเพิ่มวันหยุดและสิทธิการลาอื่น ๆ ตามร่างกฎหมายใหม่ อาจส่งผลให้ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยการผลิตเพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs โดยตรงที่กำลังเผชิญต้นทุนที่สูงและสภาพคล่องจำกัด อาจนำไปสู่การปิดกิจการและการเลิกจ้างแรงงาน

นอกจากนี้การปรับลดชั่วโมงการทำงานยังอาจกระทบต่อรายได้รวมของแรงงานในบางกลุ่ม จึงควรใช้กลไกแรงงานสัมพันธ์ภายในองค์กรในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสม พร้อมทั้งควรมีการประเมินผลกระทบเชิงปริมาณและจัดทำมาตรการรองรับอย่างรอบคอบ เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังไม่พร้อมต่อการปรับเปลี่ยนดังกล่าว โดยหลายอุตสาหกรรมยังคงพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก และมีข้อจำกัดด้านเงินลงทุนในการปรับใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ

ดร. พจน์  กล่าวว่า สุดท้ายนี้ ขอย้ำให้เห็นว่า กระบวนการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก (กฎหมายมหาชน) ควรเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่กำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ยังขาดข้อมูลที่เพียงพอและอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง

 ดังนั้น สภาหอการค้าฯ จึงขอคัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ทั้ง 2 ฉบับ ที่ไม่สอดรับกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน

 

TAGS: #สภาหอการค้าฯ #พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯSME