หอการค้าไทย ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดตัวโครงการ “Unlocking SME for Sustainable Future” ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทย สร้างช่องทางเข้าถึงแหล่งทุน
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยฯ เปิดเผยว่าปัจจุบัน SMEs เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่ที่ผ่านมายังติดกับข้อจำกัดปัญหาเดิมๆ โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขาดความรู้ธุรกิจ ขยายตลาดไม่ได้ และต้นทุนสูง
ทั้งนี้ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ชัดว่า แม้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 ปี 2568 แต่ยอดการปล่อยสินเชื่อยังลดลง 0.8% เนื่องจากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น สะท้อนความท้าทายในการฟื้นตัวของผู้ประกอบการรายเล็ก
“ ปี 2568 เดิมทีหลายหน่วยงานมองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ด้วยปัจจัยภายนอกหลาย ๆ อย่าง ทำให้สถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ โดยเฉพาะในเรื่องสงครามการค้า และการขึ้นภาษีตอบโต้จากสหรัฐ กลายเป็นปัจจัยบั่นทอนที่ทำให้ภาคธุรกิจเดินหน้าได้ลำบากยิ่งขึ้น ซึ่งทางออกของปัญหานี้ ทุกฝ่ายคงต้องช่วยกัน โดยหอการค้าไทยนั้น นอกจากการนำเสนอแนวทางให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ไปยังภาครัฐแล้ว เรายังผลักดันแนวทางในการปรับตัวไปยังภาคเอกชนด้วยกันเองด้วย” ดร.พจน์ กล่าว
นายธวัชชัย เศรษฐจินดา กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยฯ กล่าวว่าการจัดงานมหกรรม SME หอการค้า 5 ภาค Unlocking SME for Sustainable Future “ ปรับเปลี่ยนธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน” เป็นโครงการที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบ SMEs ในภูมิภาคอย่างครบวงจร เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหน่วยงานสำคัญ อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานส่งเสริม SMEs ธนาคารพัฒนา SMEs ธนาคารออมสิน กสิกรไทย กรุงไทย EXIM ไทยเครดิต และอีกหลายสถาบัน พร้อมเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ
สำหรับโดยภายในงานจะแบ่งออกเป็น 2 โซน
1. โซนองค์ความรู้
• แชร์ประสบการณ์จาก SMEs ที่ประสบความสำเร็จ
• อบรมเข้มด้านการเงิน การตลาด การขอสินเชื่อ
• เตรียมธุรกิจสู่อนาคตด้วยความรู้ด้าน Digital, AI, Robot, ESG และ Green Economy
• โครงการพี่ช่วยน้อง (Big Brother) และ Business Matching เข้าสู่ตลาด Modern Trade
2. โซน SME Clinic
• ให้คำปรึกษารายบุคคลแบบเจาะลึก
• แก้ปัญหาสินเชื่อ ติดเครดิตบูโร บัญชี ภาษี
• เชื่อมต่อกับสถาบันการเงินที่เสนอเงื่อนไขพิเศษให้เฉพาะผู้ร่วมงาน
5 ภูมิภาค 5 จังหวัด 5 โอกาสใหม่
งานมหกรรมจะจัดขึ้น 5 ครั้ง 5 ภาค ตั้งเป้าผู้เข้าร่วมรวมกว่า 1,000 ราย เริ่มเดือนกรกฎาคมนี้
• 4 ก.ค. 2568 – ภาคเหนือ (กำแพงเพชร)
• 4 ส.ค. 2568 – ภาคใต้ (พังงา)
• 12 ก.ย. 2568 – ภาคกลาง (นครปฐม)
• 3 ต.ค. 2568 – ภาคอีสาน (ขอนแก่น)
• 23 ม.ค. 2569 – ภาคตะวันออก (ระยอง)
อย่างไรก็ตามโครงการนี้ไม่เพียงปลดล็อกข้อจำกัด แต่ยังวางรากฐานให้ SMEs ปรับตัว และยืนหยัดในยุคเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ด้วยองค์ความรู้ การเงิน และโอกาสตลาดที่จับต้องได้จริง