ส่งออกเดือนพ.ค.ทำสถิติทะลุ 1 ล้านล้าน วอนธปท.ดูแลค่าเงินบาท

ส่งออกเดือนพ.ค.ทำสถิติทะลุ 1 ล้านล้าน วอนธปท.ดูแลค่าเงินบาท
‘พิชัย’ปลื้มรัฐบาลแพธารทอง 8 เดือน สร้างรายได้ส่งออก7.23 ล้านล้านบาท   มั่นใจยังเป็นเครื่องมือดันเศรษฐกิจ  ขณะที่ภาพรวมปีนี้อยากเห็นส่งออกขยายตัวต่อเนื่องในระดับ 10%

นายพิชัย  นริพทะพันธุ์   รมว.พาณิชย์  เปิดเผยถึง สถานการณ์การส่งออกของไทยประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 31,044.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,025,477 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ในอัตราร้อยละ 18.4 ซึ่งนับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2565 และถือเป็นมูลค่าการส่งออกรายเดือน สูงสุดในประวัติศาสตร์

ทั้งนี้หากไม่รวมกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.3 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการค้าโลกที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับการชะลอการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งผลให้สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และแผงวงจรไฟฟ้า เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สินค้าเกษตร โดยเฉพาะ มันสำปะหลัง ทุเรียน มังคุด และเงาะ ก็กลับมาฟื้นตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

สำหรับภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกไทยขยายตัวร้อยละ 14.9 (หากไม่รวมสินค้าน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย จะขยายตัวที่ร้อยละ 13.9)  โดยสินค้าเด่นและตลาดสำคัญที่ขยายตัวสินค้าอุตสาหกรรม: ขยายตัวถึงร้อยละ 22.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 นำโดย คอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์ และอัญมณี (ไม่รวมทองคำ)

ด้านสินค้าเกษตร กลับมาขยายตัวร้อยละ 6.8 หลังชะลอตัวหลายเดือน โดยเฉพาะผลไม้สด มันสำปะหลัง และมะม่วงโดยตลาดส่งออกสำคัญที่เติบโตดี ได้แก่ สหรัฐฯ  ขยายตัว35.1%  จีนขยายตัว 28.0%  ตะวันออกกลางขยายตัว 22.8%เอเชียใต้ ขยายตัว 22.3% แอฟริกา ขยายตัว 21.4%  สหภาพยุโรป ขยายตัว16.6% และ อาเซียน ขยายตัว 8.8%

อย่างไรก็ตามผลงานของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกไทยขยายตัวแล้วถึง ร้อยละ 13.3 สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศรวมกว่า 215,798.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.23 ล้านล้านบาท และคาดว่าหากแนวโน้มปีนี้ยังคงอยู่ในทิศทางบวก จะเป็นปีทองของการส่งออกไทยอย่างแท้จริง โดยหวังจะให้เติบโตให้ได้ 10%

“อย่างที่ผมย้ำมาตลอดว่า ปีนี้จะเป็น ‘ปีทอง’ ของการส่งออก เราไม่ได้เติบโตเพียงเพราะนโยบายต่างประเทศของบางประเทศ แต่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของสินค้าไทยและการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันของทุกกรมในกระทรวงพาณิชย์ ผมมั่นใจว่าในสิ้นปีนี้ เราจะเห็นการขยายตัวแตะตัวเลข สองหลัก ได้แน่นอน” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัย กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งตัว อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตร โดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย ที่ค่าเงินอ่อนลงจนสามารถตั้งราคาสินค้าได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาทิศทางค่าเงินอย่างรอบคอบ เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก

“กระทรวงพาณิชย์วิ่งขายของอย่างเดียวไม่พอ ถ้าค่าเงินยังแข็งแบบนี้ผู้ส่งออกโดยเฉพาะเกษตรกรจะได้รับผลกระทบหนัก เราอยากเห็นค่าเงินอ่อนลงบ้าง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้รอบด้าน ทั้งการส่งออก การลงทุน และรายได้ของประชาชน” นายพิชัยกล่าว

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า  มูลค่าการค้ารวมมูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนพฤษภาคม 2568 การส่งออก มีมูลค่า 31,044.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 18.4 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 29,928.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 18.0 ดุลการค้า เกินดุล 1,116.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวมการส่งออก 5 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออก มีมูลค่า 138,202.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 14.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 139,325.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.3 ดุลการค้า ขาดดุล 1,123.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตามการส่งออกขยายตัวเกือบทุกตลาดสำคัญ ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากประเทศผู้นำเข้าเร่งสั่งซื้อสินค้า ในช่วงที่สหรัฐฯชะลอการบังคับใช้ภาษีต่างตอบแทนเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยการส่งออกขยายตัวเร่งขึ้นในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และตลาดรอง อาทิ ทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา

นายพูนพงษ์ กล่าวว่าแนวโน้มการส่งออกช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ต้องติดตามผลการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีความคืบหน้า หลังจากที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ได้ร่วมหารือกับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ที่กรุงปารีส โดยไทยได้จัดส่งข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมีผลตอบรับในเชิงบวกจากฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะปูทางไปสู่

การเจรจาเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ทางการค้า และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกรอบเจรจาที่เน้นสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงเฝ้าติดตามปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าไทย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ความวุ่นวายในภูมิภาคตะวันออกกลาง และปัญหาการเบี่ยงเบนการค้า ซึ่งทางกระทรวงฯ ให้ความสำคัญสูงสุดและติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าแก่ทุกฝ่าย

 

 

TAGS: #ส่งออก #ค่าเงินบาท #ภาษีสหรัฐ