วิจัยกรุงศรีคาดการลงทุนภาคเอกชนในปี 2567 เติบโตต่ำที่ 0.2%

วิจัยกรุงศรีคาดการลงทุนภาคเอกชนในปี 2567 เติบโตต่ำที่ 0.2%
วิจัยกรุงศรีคาดการลงทุนภาคเอกชนในปี 2567 เติบโตต่ำที่ 0.2% ขณะที่ส่งออกทั้งปีอาจขยายตัวเกิน 2%

วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า แม้มูลค่ายอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้สูงสุดในรอบ 10 ปี กว่า 7 แสนล้านบาท  แต่เครื่องชี้อื่นๆ ชี้ว่าการลงทุนในปี 2567 อาจโตเพียงเล็กน้อย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เผยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 2,195 โครงการ (+46% YoY) เงินลงทุน 722.5 พันล้านบาท (+42% YoY) กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าสูงสุด  ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า (183.4 พันล้านบาท)  ดิจิทัล (94.2 พันล้านบาท) ยานยนต์และชิ้นส่วน (67.8 พันล้านบาท)  เกษตรและแปรรูปอาหาร (52.9 พันล้านบาท) และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (34.3 พันล้านบาท) สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ (+66% YoY) เงินลงทุน 546.6 พันล้านบาท (+38% YoY) ประเทศที่มีมูลค่าลงทุนสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น

จากข้อมูลยอดขอรับส่งเสริมฯ ที่ขยายตัวทั้งทางด้านจำนวนและมูลค่าเงินลงทุน ประกอบกับยอดการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนซึ่งเป็นขั้นตอนใกล้เคียงกับการลงทุนจริงที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า มีจำนวน 2,072 โครงการ (+59% YoY) มูลค่าเงินลงทุนรวม 672.2 พันล้านบาท (+101% YoY) แนวโน้มการลงทุนในระยะข้างหน้ามีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น สำหรับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 คาดว่าปัจจัยบวกจากการลงทุนภาครัฐที่เร่งขึ้นตามการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนการลงทุนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้เติบโตได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปีการลงทุนภาคเอกชนหดตัวที่ -0.9% YoY ขณะที่เครื่องชี้การลงทุนล่าสุดยังสะท้อนการฟื้นตัวที่เปราะบาง อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) เดือนกันยายน ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี และอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (หดตัว) ต่อเนื่องเป็นเดือน 12 ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมหดตัว (-1.9% YoY) ดังนั้น ภาพรวมการลงทุนภาคเอกชนทั้งปี 2567 วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าอาจยังเติบโตต่ำอยู่ที่ 0.2% จากขยายตัว 3.2% ในปี 2566

ส่งออกเดือนกันยายนเติบโตต่อเนื่องหนุนภาพรวมไตรมาส 3 แต่ยังมีหลายปัจจัยอาจกดดันการส่งออกในระยะข้างหน้า กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนกันยายนอยู่ที่ 26.0 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 1.1% YoY เป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 แต่ชะลอลงจากเดือนสิงหาคมที่ขยายตัว 7.0% และหากหักทองคำ และน้ำมัน มูลค่าส่งออกขยายตัว 3.1% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ ยางพารา (+47.4%) เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (+25.5%) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+22.5%) อาหารสัตว์เลี้ยง (+21.5%) ผลิตภัณฑ์ยาง (+15.7%) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (+15.6%) ข้าว (+15.2%) และเคมีภัณฑ์ (+4.4%) ขณะที่การส่งออกในบางกลุ่มหดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ   (-9.9%) เม็ดพลาสติก (-5.2%) น้ำตาลทราย (-10.4%) และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-29.2%) ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวในตลาดหลักทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และ CLMV ขณะที่การส่งออกไปจีน อาเซียน-5 และญี่ปุ่นหดตัว สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการส่งออกขยายตัว 3.9% และหากหักทองคำและน้ำมันขยายตัว 4.0%

การส่งออกในเดือนกันยายนแม้เติบโตชะลอลงแต่ยังมีมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 8 เดือนแรกของปี (เฉลี่ยต่อเดือนที่ 24.6 พันล้านดอลลาร์) โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลก และความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ (เดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 78 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 7.5% YoY จึงทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่การส่งออกในปี 2567 อาจสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ว่าจะเติบโตราว 2% อย่างไรก็ตาม การส่งออกในระยะข้างหน้ายังมีทั้งความเสี่ยงและปัจจัยท้าทายที่อาจส่งผลต่อการเติบโต อาทิ (i) การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐฯ และจีน (ii) อุทกภัยในประเทศอาจกระทบผลผลิตทางการเกษตรบางรายการ (iii) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (iv) สงครามทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และ (v) ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทย และปัญหาอุปทานส่วนเกินหรือสินค้าล้นตลาดของจีน ก่อให้เกิดการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดโลกและไทย ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยที่มีต้นทุนสูงกว่า

TAGS: #วิจัยกรุงศรี