อินเตอร์ ฟาร์มา มุ่งสู่ Top 10 ในอุตสาหกรรมยาและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรในไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยสูตรเดียวกับยักษ์ธุรกิจยาระดับโลก พร้อมแผนดันรายได้ใน 5 ปีหน้าแตะ 5 พันล.บาท
ดร.ตฤณวรรธน์ ธนิตนิธิพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจครบวงจรเวชภัณฑ์ยารักษาโรคและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรสำหรับคน สัตว์เลี้ยง และปศุสัตว์ กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตเฉลี่ยอัตราสองหลักอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บริษัทมีผลประกอบการคงที่ กระทั่งนำธุรกิจเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2562 ที่ผ่านมา
ปัจจุบันกลุ่มบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา มุ่งให้ความสำคัญการทำตลาดภายใต้โครงสร้างธุรกิจ แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ดังนี้
1.ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค (Pharmaceutical Products) ที่ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 ตำรับยา อาทิ ยาเลดไข้บรรเทาอาการปวดทั้ง 7 เบลลา พารา (Bella Para) ยารักษาอาการจากเชื้อไวรัส อาทิ โรคเริม งูสวัด ไปจนถึงยาละลายเสมหะ เป็นต้น โดยในกลุ่มนี้บริษัทยังมีโรงงานผลิตเวชภัณฑ์ยา 2 แห่งตั้งอยู่ที่จังหวัดอยุธยามีกำลังการผลิตใช้ไปแล้ว 50% และ โรงงานจังหวัดสมุทรปราการ เต็มกำลังผลิต 100% มีสัดส่วนรายได้ราว 30%
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ยากึ่งอาหารเสริม (Nutraceutical Products) โดยมีสินค้ามากกว่า 24 รายการในปัจจุบันทำตลาดในช่องทางโรงพยาบาลและร้านขายยา และ กลุ่มเวชสำอางกึ่งยา (cosmeceutical) มี 4 สินค้าหลักทำตลาดในปัจจุบันซึ่งอยู่ในกลุ่มโปรไบโอติก (Probiotic) ทั้งในรูปแบบสินค้าอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและพัฒนานวัตกรรมในรูปแบบสินค้าเวชสำอางโปรไบโอติกส่วนบุคคล อาทิ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้ายูคลีนซิ่งมูส (YUUU Cleansing Mousse) ล่าสุดเปิดตัวยาสีฟันยู (YUUU) ยาสีฟันโปรไบโอติกทำตลาด เป็นรายแรกในไทย ซึ่งมียอดขายสูงสุดในโรงพยาบาลและร้านขายยา มีสัดส่วนรายได้ราว 25%
นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนาสินค้าใหม่จากโปรไบโอติกเพื่อทำตลาดต่อเนื่อง อาทิ Probac BL สูตรสำหรับโรคภูมิแพ้, Probac Fit สูตรสำหรับลดไขมันช่องท้อง Probac MOOD สูตรทำให้อารมณ์ดี ความจำดี หลับง่ายและลึก Probac Ultra Collegen สูตรลดริ้วรอย เป็นต้น กลุ่มนี้มีสัดส่วนรายได้ 5%
3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพของสัตว์เลี้ยง (Companion Animal Health Products) ครบวงจร อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสุนัข แมว, แชมพูรักษาโรคผิวหนังสำหรับสัตว์เลี้ยง ภายใต้ตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ Dermcare MALASEB และ Dermcare PYOHEX เป็นต้น กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัข และแมว , เวชสำอางสัตว์เลี้ยง ฯลฯ มีสัดส่วนรายได้ 25%
4.กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์ (Livestock Products) อาทิ ผลิตภัณฑ์สารผสมล่วงหน้าช่วยส่งเสริมให้การเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภคลดการใช้ยาปฏิชีวนะได้ ด้วยแนวคิดอาหารปลอดภัย กลุ่มสินค้าช่วยรักษาสุขภาพและป้องกันการแพร่โรค รวมไปถึงยายาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 20 รายการ (SKUs) มีสัดส่วนรายได้ราว 10%
โดยทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจข้างต้น ถือเป็นต้นน้ำและกลางน้ำในการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยมีอีก 2 ธุรกิจหลักปลายน้ำมารองรับความครบวงจรของกลุ่มอินเตอร์ฟาร์มา ในสัดส่วนที่เหลือ คือ
5.กลุ่มธุรกิจร้านขายขา ภายใต้แบรนด์ แล็บ ฟาร์มาซี (LAB Pharmacy) ดำเนินการโดยบริษัท ดรัก แคร์ จำกัด ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งสิ้น 32 สาขา โดยในปี2567 เตรียมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทเพื่อขยายสาขาเพิ่มเป็น 42 สาขา โดยวางแผนเปิดสาขาร้านใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ในเดือนสิงหาคมปีนี้ คาดภายใน 3 ปี (2567-2569) จะมีสาขาเพิ่มเป็น 70 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ใช้งบลงทุนราว 150 ล้านบาท พร้อมขยายการทำธุรกิจในรูปแบบ(Business Model) แฟรนไชส์ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีแผนนำบริษัท ดรัก แคร์ จำกัด เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2568 เพื่อนำเงินมาใช้พัฒนาธุรกิจทั้งในการขยายร้านสาขาเพิ่มขึ้น และรูปแบบร้านค้าส่งยา รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการยารักษาใน 7 โรคพื้นฐานอนาคตที่จะเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างทั่วไปได้สะดวกขึ้นนอกเหนือจากการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยในปีนี้วางเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 789 ล้านบาท
6.กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล เปิดให้บริการ 1 แห่ง โรงพยาบาลนครพัฒน์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมวางแผนนำธุรกิจระดมทุนราว 1,000 ล้านบาทในตลาดฯ ปี 2569 เช่นกัน เพื่อนำมาใช้ขยายอาคารให้บริการผู้ป่วยในพื้นที่เดิมของโรงพยาบาลที่ปัจจุบันมีขนาด 7 ไร่ครึ่ง และไปใช้แล้ว 2 ไร่ โดยปีนี้วางเป้าหมายรายได้ 250 ล้านบาท
ดร.ตฤณวรรธน์ กล่าวว่าจากโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวบริษัทยังวางแผน 5 ปี (2567-2571) ใช้งบลงทุนรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท (แบ่งเป็นธุรกิจร้านขายยาราว 200 ล้านบาทและธุรกิจโรงพยาบาล 1,000 ล้านบาท) พร้อมวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 100 รายการ
รวมถึงเข้าตลาดสุขภาพใหม่ในกลุ่ม ยีนเธอราปี(Gene Therapy) แนวทางการบำบัดดูแลรักษาระดับยีนของมนุษย์ เพื่อรองรับโอกาสการดูแลชีวิตที่ยืนยาวขึ้นในตลาดสังคมสูงวัยในอนาคต นอกเหนือจากตลาดโปรไบโอติกที่ปัจจุบัน อินเตอร์ฟาร์มา ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ของตลาดมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาทและเติบโตสูงต่อเนื่องทุกปี จากความต้องการของผู้บริโภคและการมีผู้เล่นต่างๆในตลาดขยายตัวในช่วงที่ผ่านมา
“การเติบโตธุรกิจของอินเตอร์ฟาร์มา ตลอดช่วง10 ปีที่ผ่านมารวมถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากการใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการที่มีความชำนาญดั้งเดิม เช่น โรงงานผลิตยา ซึ่งเป็นธุรกิจต้นนำ เพื่อให้ได้สินค้ากลางน้ำ และมองว่าการจะทำให้ธุรกิจมีความครบวงจรจะต้องมีธุรกิจปลายน้ำอย่างร้านขายยา และ โรงพยาบาล มารองรับ ซึ่งเป็นโมเดลลักษณะเดียวกับไฟเซอร์ ธุรกิจยารายใหญ่ระดับโลกในปัจจุบัน” ดร.ตฤณวรรธน์ กล่าว
สำหรับแนวทางการทำตลาดในปีนี้ บริษัทเตรียมใช้กลยุทธ์ พรีเซ็นเตอร์ มาร์เก็ตติง ผ่าน 3 นักแสดงซูเปอร์สตาร์ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ตัวแทนสินค้า ‘เบลลา พารา’ คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส ตัวแทนสินค้า ยาสีฟันยู และ ปราง-กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล พรีเซ็นเตอร์โปรแบค พร้อมวางเป้าหมายรายได้เติบโต 25% จากปีก่อน หรืออยู่ที่ 2,500 ล้านบาท
ทั้งนี้จากการทำตลาดภายใต้แนวทางดังกล่าว บริษัทวางเป้าหมายภายใน 5 ปี ขึ้นสู่การเป็น 1ใน 10 องค์กรชั้นนำธุรกิจเวชภัณฑ์ด้านนวัตกรรมยาและสุขภาพแบบครบวงจรของไทย พร้อมขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าได้ครอบคลุม รวมถึงทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย และ เมียนมา จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 95% และ 5% ตามลำดับ โดยจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท