‘ล่ำสูง’ เจ้าของน้ำมันพืชตรา ‘หยก’ อยู่ในตลาดไทยมาแล้ว 50 ปี ขยับตัวทางธุรกิจครั้งใหญ่พร้อมแผนสื่อสารการตลาดกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น ด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก เพื่อขึ้นสู่เบอร์ 1 ตลาดน้ำมันปาล์มใน 3 ปี
ภูมิเกียรติ โชติชัยชรินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตละทำตลาดน้ำมันพืชตราหยก เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบรอบ 50 ปี พร้อมจัด 3 กลุ่มธุรกิจใหม่ในการทำตลาดสินค้าน้ำมันพืชและเพื่อสุขภาพควบคู่การสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนรองรับความต้องการผู้บนริโภคคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน
โดย 3 กลุ่มธุรกิจหลักของล่ำสูง ประกอบด้วย
- กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชราคาประหยัด ซึ่งจะเป็นกลุ่มสินค้าหลัก (Mainstream) ภายใต้แบรนด์ ‘หยก’ ทำตลาดในกลุ่มน้ำมันพืชผลิตจากผลปาล์ม หรือน้ำมันปาล์ม โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา น้ำมันตราหยก ครองส่วนแบ่งอันดับ2 รองจากอันดับ 1 แบรนด์มรกต ส่วนอันดับ3 จะมีส่วนแบ่งการตลาดใกล้เคียงกันระหว่าง 2-3 แบรนด์ในตลาด
- กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชประเภทใส (Soft Oil) ระดับพรีเมียมเพื่อสุขภาพ โดยใช้แบรนด์หยก เอ็กซ์ตร้า ทำตลาดสินค้าน้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนลา และ น้ำมันมะพร้าว
นอกจากนี้ยังมีแบรนด์เนเชอเรล ออร์แกนิค ผลิตภัณฑ์กลุ่มเพื่อสุขภาพ โดยบริษัทได้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อทำตลาดในไทยมานานร่วม 10 ปี ถึงปัจจุบันมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ตามแนวโน้มเดียวกับตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีสินค้าต่างๆ อาทิ น้ำมันคาโนลา, น้ำมันทานตะวัน, น้ำมันมะกอก สินค้าสำหรับการปรุงอบอาหารและเบเกอรี (Home Baker) เป็นต้น
- กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารออร์กานิก (Organic Food) กลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิเครื่องปรุงและซอส นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย แบรนด์มาสเตอร์ ฟู้ดส์ และ ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมเบเกอรี เช่น แป้งสาลี แบรนด์เชสท์ และใบไม้ทอง เป็นต้น
ทั้งนี้จากการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ของล่ำสูง เพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในตลาดที่หันมาให้ความสำคัญในสินค้าที่ส่งผลดีต่อสุขาพมากขึ้น เห็นได้ชัดหลังจากช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าตลาดซอฟต์ออยล์มีอัตราการเติบโตสูงไม่ต่ำกว่า 2 หลักแม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าน้ำมันพืชกลุ่มราคาประหยัดก็ตาม
“จากข้อมูลผู้บริโภคในตลาดช่วงที่ผ่านมาพบว่า ลูกค้ายินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้บริษัทได้ปรับกลยุทธ์และการทำตลาดเพื่อไปสู่การเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดน้ำมันปาล์ได้ภายใน 3 ปีหน้าหรือราวปี 2570 และรักษาการเป็นผู้นำในตลาดซอฟต์ออยล์”
ด้าน ณฐภา เศรษฐนันท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทยังจะมุ่งให้ความสำคัญการทำตลาดสินค้าซอฟต์ออยล์มากขึ้น ด้วยมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดกลุ่มนี้ ที่คาดว่าตลาดน้ำมันนระดับพรีเมียมจะมีความต้องการสูงรองลงมาจากตลาดหลักในอีก 3 ปีข้างหน้าเช่นกัน
“เพื่อรองรับการเติบโตตลาดซอฟต์ออยล์ บริษัทจะทำตลาดเชิงรุกสินค้าในกลุ่มนี้ด้วยแบรนด์เนเชอเรลมากขึ้น ควบคู่ไปกับหยกเอ็กซ์ตร้า เพื่อรักษาผู้นำในตลาดน้ำมันพรีเมียมเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง” ณฐภา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบรนด์หยกครั้งใหญ่เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ อายุ 25 ปีขึ้นไปให้มากขึ้น
โดยบริษัท จะหันมาให้ความสำคัญด้วยกลยุทธ์การใช้ ‘คอนเทนต์ ครีเอเตอร์’ มาสื่อสารการตลาดผ่านช่องทางสังคมออนไลน์แพล็ตฟอร์มต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายข้างต้น ด้วยเป็นช่องทางที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือและสื่อสื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมายผ่านเนื้อหาการทำอาหาร ขนม เบเกอรี ต่างๆ ได้ตรงกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท
ขณะที่การทำตลาดสินค้าทั้ง 3 กลุ่มของบริษัท ประกอบด้วยทั้งรูปแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) จัดส่งสินค้าไปยังกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม และ ธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C) อยู่ในช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าท้องถิ่นรายย่อยทั่วประเทศ โดยวางเป้าหมายใน 2-3 ปีหน้า บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์อยู่ที่ 10% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 1 หลัก
พร้อมกล่าวต่อถึงแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์ในครึ่งแรกของปี 2567 คาดยังมีแนวโน้มแข็งตัวอยู่ตามทิศทางเดียวกับราคากลางในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ด้วยยังต้องติดตามปัจจัยปริมาณผลผลิตปาล์มที่จะออกสู่ตลาดว่ามีมากน้อยเพียงใด ตามสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบกับภาคการผลิตโดยยังต้องติดตามราคาปาล์มอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จากหลายปัจจัยประกอบกัน ปัจจุบันราคาปลีกน้ำมันพืชต่อขวดบรรจุ 1 ลิตร อาทิ น้ำมันปาล์มฉลี่ย 45 บาท น้ำมันพรีเมียมเฉลี่ย 75บาท เป็นต้น
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตโรงกลั่นน้ำมันพืชต่อวันอยู่ที่กว่า 1,000 ตันต่อวัน โดยมีผลประกอบการระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ย.2566 อยู่ที่ 8,233 ล้านบาท