"แม้ว่านโยบายนี้จะประสบความสำเร็จโดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย แต่พรรคเพื่อไทยก็อาจยังคงต้องดิ้นรนเพื่อสถาปนารากฐานทางการเมืองอย่างมั่นคง"
ดร.ณพล จาตุศรีพิทักษ์ เขียนบทความเรื่อง "แผนรุกฆาตแจก 10,000 บาทของเพื่อไทย: สัญญาทางการเมืองที่บ่งบอกถึงอันตรายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น" ใน Fulcrum โดยระบุว่า แผนของพรรคเพื่อไทยที่จะแจกมูลค่า 10,000 บาทให้กับผู้ใหญ่ชาวไทยนั้นมีจุดประสงค์สองประการ คือ กระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูสถานะทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ว่าจะบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งเหล่านี้หรือไม่
บทความของ ดร.ณพล จาตุศรีพิทักษ์ กล่าวไว้ ดังนี้
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ในงานอีเว้นต์ที่บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนถึงความเป็นไปได้ที่ เศรษฐา ทวีสิน จะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เศรษฐา ได้เปิดเผยข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ โครงการริเริ่มกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท (270 เหรียญสหรัฐ) นโยบายที่เสนอซึ่งอาจใช้เงิน 560,000 ล้านบาทขึ้นไป มีเป้าหมายเพื่อแจกจ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับพลเมืองไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป การเบิกจ่ายครั้งเดียวจะต้องใช้จ่ายภายในระยะเวลาหกเดือนและภายในรัศมีสี่กิโลเมตรจากถิ่นที่อยู่จดทะเบียนของบุคคลนั้นๆ นโยบายเดียวกันนี้ที่ทำให้ เศรษฐา ซึ่งเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงแต่เป็นมือใหม่ทางการเมือง กลายเป็นที่สนใจขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นโยบายดังกล่าวกำลังเป็นเงามืดที่ปกคลุมสถานะทางการเมืองของเขา นอกจากนี้ยังจุดชนวนความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับวินัยทางการคลังและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ
ประเด็นสำคัญคือการขาดความชัดเจนและความโปร่งใสเกี่ยวกับการให้ทุนและการดำเนินนโยบาย เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เศรษฐาได้ยืนยันคำมั่นสัญญาที่จะประกาศใช้นโยบายดังกล่าว คำมั่นสัญญานี้ได้รับการย้ำในแถลงการณ์นโยบายที่เผยแพร่โดยรัฐบาลชุดใหม่เมื่อวันที่ 11 กันยายน ในช่วงต้นเดือนตุลาคม มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับดูแลการดำเนินการตามนโยบาย โดยมี เศรษฐา เป็นประธานคณะกรรมการและให้คำมั่นว่าจะเปิดตัวภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 อย่างไรก็ตาม ฉันทามติที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินประมาณ 560,000 ล้านบาทที่จำเป็นสำหรับการริเริ่มนี้ ก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คาดว่าคณะกรรมการจะบรรลุมติภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้
เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 ยังคงค้างอยู่และมีความยืดหยุ่นด้านงบประมาณที่จำกัด คาดว่าโครงการริเริ่มจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินบางส่วนหรือทั้งหมดโดยการกู้ยืมจากสถาบันการเงินของรัฐ โดยอาศัยโอกาสในทางเทคนิคตามที่ระบุในมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แหล่งที่มาของเงินทุนที่เป็นไปได้นี้ แตกต่างจากรายละเอียดเบื้องต้นที่ระบุกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยมีการปรับเปลี่ยนเพดานการกู้ยืมเงินของรัฐบาลจากธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เพื่อเป็นทุนสนับสนุนโครงการของรัฐ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเพิ่มเพดานจากปัจจุบันร้อยละ 32 ของรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลเป็นร้อยละ 45
แม้ว่าการกู้ยืมนอกงบประมาณจะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังและผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการริเริ่มนโยบายนี้ นักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการ 99 คน รวมทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สองคน ได้ลงนามในแถลงการณ์ค้านวิพากษ์วิจารณ์โครงการริเริ่มนี้ โดยจำเพาะเจาะจงได้ชี้ให้เห็นศักยภาพของภาระการคลังในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และต้นทุนเสียโอกาสที่เกี่ยวข้อง พวกเขายังถือว่านโยบายนี้ไม่จำเป็นและเข้าใจผิด ผลกระทบจากตัวคูณทางเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายนี้มุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจมีนัยสำคัญน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางเลือก เช่น การใช้จ่ายโดยตรงของรัฐบาล คำเตือนเหล่านี้สอดคล้องกับจุดยืนของผู้ว่าการ ธปท. คนปัจจุบัน คือ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่เรียกร้องให้เน้นการลงทุนมากกว่าการกระตุ้นการบริโภค เขาแนะนำว่าความช่วยเหลือทางการเงินควรมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด แทนที่จะแจกจ่ายให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
ยังมีข้อกังวลอื่น ๆ เช่นกัน ด้วยวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ว่าเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงสมเหตุสมผลสำหรับนโยบายที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและฐานผู้ใช้ที่มีอยู่ เช่น แอปมือถือเป๋าตังโดยธนาคารกรุงไทน ซึ่งใช้มาตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้วางแผนนโยบายยืนกรานที่จะใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลและโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (utility token) ที่เปิดใช้งานบล็อคเชน ซึ่งภายใต้กฎระเบียบปัจจุบันของ ธปท. ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีการชำระเงิน การวิพากษ์วิจารณ์ยังมุ่งตรงไปที่เงื่อนไขที่เข้มงวดซึ่งกำหนดว่าต้องใช้เงินดิจิทัลกับธุรกิจในท้องถิ่นภายในรัศมี 4 กม. คำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดการอภิปรายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดในการขยายขอบเขตการใช้จ่าย
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะส่งเสียงเตือนและยังมีสัญญาณความหวั่นวิตกจากตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งสะท้อนถึงอัตราผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากนโยบายดังกล่าว และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติโดยรวมที่ลดลงต่อผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของไทย แต่พรรคเพื่อไทยยังคงแน่วแน่ จุดยืนนี้บอกถึงเรื่องราวที่ลึกล้ำกว่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าแม้จะแพ้การเลือกตั้ง แต่พรรคเพื่อไทยก็สามารถขึ้นสู่อำนาจได้โดยการสร้างพันธมิตรกับกองทัพและสถาบันอนุรักษ์นิยมที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ การตั้งพันธมิตรนี้กลายเป็นคำถามสำคัญเกี่ยวกับความชอบธรรมของรัฐบาล เพราะละทิ้งผู้ชนะการเลือกตั้งไป และยังประนีประนอม (กองทัพและสถาบันอนุรักษ์นิยม) กับซึ่งเท่ากับเป็นการละเมิดคำมั่นสัญญาในการรณรงค์หาเสียงก่อนหน้านี้ที่จะรักษาพันธมิตรที่สนับสนุนประชาธิปไตย
ในภูมิทัศน์ทางการเมืองที่ยากลำบากเช่นนี้ รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ในสถานะที่ไม่ปลอดภัยและรู้สึกว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตามพันธกรณีทางนโยบายของตน เพื่อให้ได้ความน่าเชื่อถือกลับคืนมาในสายตาของผู้สนับสนุน อย่างน้อยก็ผู้ที่ลงคะแนนให้พรรคโดยคาดหวังว่าจะได้รับเงินแจกฟรี 10,000 บาท จากมุมมองนี้ เห็นได้ชัดว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เสนอนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยและรักษาจุดยืนทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีที่ขาดอำนาจหนุนหลังจากเสียงส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยต้นทุนใดก็ตาม การแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากการริเริ่มเชิงนโยบายไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นแง่มุมพื้นฐานของการแข่งขันทางการเมืองตามครรลองในระบอบประชาธิปไตยที่มีความมั่นคง อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ทั้งเศรษฐาและเพื่อไทยควรพิจารณา แม้ว่านโยบายนี้จะประสบความสำเร็จโดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย แต่พรรคเพื่อไทยก็อาจยังคงต้องดิ้นรนเพื่อสถาปนารากฐานทางการเมืองอย่างมั่นคง ผลการเลือกตั้งระบุว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยส่วนใหญ่ลงคะแนนโดยเน้นไปที่อุดมการณ์และการปฏิรูปโครงสร้าง มากกว่าที่จะเอนเอียงไปทางประชานิยมทางเศรษฐกิจแบบทักษิณ โดยพื้นฐานแล้ว ผลกระทบทวีคูณที่พรรคเพื่อไทยได้รับ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง อาจเป็นการหลอกลวงตัวเอง ซึ่งมาพร้อมกับต้นทุนทางการเงินที่สูงลิ่ว
Photo by MANAN VATSYAYANA / AFP