ความเนื้อหอมของ'ขุนศึกรัฐกะชีน' เพราะ'แร่ธาตุหายาก'จึงทำให้ รัฐบาลทรัมป์ซุ่มเจรจาเพื่อคานอำนาจจีน

ความเนื้อหอมของ'ขุนศึกรัฐกะชีน' เพราะ'แร่ธาตุหายาก'จึงทำให้ รัฐบาลทรัมป์ซุ่มเจรจาเพื่อคานอำนาจจีน

ในขณะที่เราชาวไทยมัวแต่กังวลว่ารัฐบาลอนุทินยอมทำ MoU กับรัฐบาลทรัมป์เพื่อแบ่งปันข้อมูลการสำรวจแร่ธาตุหายาก หรือ Rare earth ในไทย และคนมาเลเซียก็ไม่พอใจที่รัฐบาลของตนทำ MoU กับทรัมป์ในเรื่องแร่ธาตุหายากเหมือนกัน เพราะเรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติและของทั้งโลก

แต่รัฐบาลทรัมป์ไมได้มองแค่ไทยหรือมาเลเซีย (รวมถึงเวียดนามด้วย) ความกระหายแร่ธาตุหายากของสหรัฐฯ นั้นหยุดไม่อยู่จริงๆ เพราะถึงกับยอมที่จะเจรจากับกองกำลังติดอาวุธ "ฝ่ายกบฎ" ในรัฐกะชีน (หรือรัฐคะฉิ่น) ในเมียนมา ซึ่งเป็นรัฐที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุหายาก หยก ป่าไม้ และยังเป็น "หลังบ้าน" ของจีนอีกด้วย

รัฐนี้มีส่วนประกอบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่หอมหวนยั่วยวนใจจริงๆ สำหรับมหาอำนาจ

ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว ที่มีรายงานข่าวจาก Reuters ว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังหาทางเจรจาโดยตรงกับกองทัพเอกราชกะชีน (KIA)

ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันที่สำนักงานของรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับ KIA รวมถึงการลงนามข้อตกลงสันติภาพกับคณะทหารพม่า หรือการหลีกเลี่ยงรัฐบาลทหารเมียนมาทั้งหมดแล้วติดต่อกับ KIA เท่านั้น

เป็นใครก็อยากจะจับมือด้วย เพราะ KIA ได้กลับมาควบคุมพื้นที่ทำเหมืองชิปเว-ปันวาอีกครั้งในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 โดยเกือบครึ่งหนึ่งของธาตุหายากหนักของโลก (เช่น ดิสโพรเซียมและเทอร์เบียม) ผลิตขึ้นในภูมิภาคนี้

แร่ธาตุหายากเหล่านี้เคยไหลเข้าสู่จีน (และทุนจีนก็เข้ามาหาแร่ธาตุหายากในเมียนจนพรุนไปหมด) กระนั้นก็ตาม เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว KIA ไม่ยอมส่งแร่ธาตุหายากไปยังจีน เพื่อตอบโต้จีน (เหตุผลในการตอบโต้เราจะเอ่ยถึงต่อไปในในตอนท้ายๆ)

นี่แสดงถึงความเป็นตัวของตัวเองของ KIA เหมือนกัน และก็เป็นโอกาสให้สหรัฐฯ ได้เข้ามาแทรกตัวตรงกลางระหว่าง KIA กับจีนและกับรัฐบาลทหารเมียนมา 

ท่าทีของรัฐบาลทรัมป์เป็นทั้งการหาแหล่งสำรองป้อนแร่ธาตุหายาก เพื่อไม่ให้จีนใช้ไพ่ใบนี้มาต่อรอง เพราะปัจจุบัน จีนจีนแหล่งแร่ธาตุหายากและส่งออกแร่ธาตุหายากอันดับหนึ่งของโลก และอีกยุทธศาสตร์หนึ่งก็เพื่อลดทอนพลังการผูกขาดของจีนลง เพราะแม้จีนจะมีแหล่งแร่ฯ ของตนเองแต่จีนนำเข้าแร่ธาตุหายากของเมียนมาส่วนใหญ่เช่นกัน

จีนมีนโยบายต่อเมียนมา "ในเชิงปฏิบัตินิยม" มากกว่าสหรัฐฯ เพราะให้การสนับสนุนต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ขณะเดียวกันก็เจรจากับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อต้านรัฐบาล แล้วก็ยังเป็นเป็นคนกลางเจรจาระหว่างสองฝ่ายด้วย

นี่จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับจีนในการรักษาผลประโยชน์ไม่ว่าจะกับกลุ่มใดๆ ในเมียนมา

แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่าจะชุดไหนๆ มีท่าทีต่อเมียนมา "ในเชิงอุดมการณ์" นั่นคือเอาระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกเป็นที่ตั้ง หากเมียนมาไม่มีระบอบนี้หรือทำรัฐประหารหรือยังมีสงครามกลางเมือง สหรัฐฯ ก็จะไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย 

แต่ไรมา สหรัฐฯ ไม่เห็นว่ามีอะไรในเมียนมาที่ตนเองต้องการ ในรัฐกะชีนเองก็เคยเห็นว่ามีแต่หยกเท่านั้นที่ทำเงิน แต่นั่นไม่ใช่สินค้าที่พวกอเมริกันต้องการ แต่เป็นของที่ป้อนตลาดจีนอยู่เสมอมา

จนกระทั่งมาถึงยุคแห่งสงครามแร่ธาตุหายาก สหรัฐฯ จึงเห็นว่าเมียนมาสำคัญและยังไปที่รัฐกะชีนอย่างละเอียดละออจนพบว่าที่นี่คือแหล่ง "ทรัพยากรด้านภูมิรัฐศาสตร์" กอปรกับรัฐบาลทรัมป์เองก็ไม่ใช่พวกที่ใช้อุดมคติชี้นำ จึงหันมาหากโอกาสต่อรองกับ KIA

อดัม คาสติลโล อดีตประธานหอการค้าสหรัฐฯ ในเมียนมา เรียกทรัพยากรแร่ของรัฐกะฉิ่นว่าเป็น "แหล่งเงิน" ของจีน นั่นหมายความอย่างที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้นว่า หากสหรัฐฯ จะลดแทนพลังการผูกขาดของจีน ก็ต้องควบคุมรัฐกะชีนให้ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องทำให้รัฐกะชีนเป็นมิตรกับตนและเป็นแหล่งระบายแร่ฯ ให้กับตนได้ 

รัฐกะชีนเป็น "ประตูหลัง" ของจีนเนื่องจากมีแนวติดต่อกับมณฑลยูนนานฟากตะวันตกเกือบทั้งหมด และนี่เป็นเส้นทางที่จีนหมายมั่นจะให้เป็นระเบียงติดต่อกับอ่าวเบงกอล โดยหากสถานการณ์ในเมียนมาสงบลงนี่จะเป็นช่องทางไปสู่ท่าเรือของเมียนมาในอ่าวเบงกอลก็ได้และยังเป็นทางต่อไปยังบังกลาเทศก็ได้ 

เส้นทางนี้จีนมุ่งมาดปรารถนาจะให้เป็นเส้นทางหลังบ้าน (ด้านตะวันตก) มานาน แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะสงครามกลางเมืองในเมียนมาเป็นอุปสรรค

แต่เมื่อ KIA คุมรัฐกะชีนเอาไว้ได้ ก็เท่ากับคุมเส้นทางมุ่งไปยังเบงกอลได้ และยังคุมเส้นทางมุ่งไปยังอินเดียก็ได้ 

ในขณะที่จีนต้องการเข้าไปยังบังกลาเทศ สหรัฐฯ มองว่าหากจับมือกับ KIA ได้ก็สามารถขนถ่ายแร่ธาตุหายากจากรัฐกะชีนออกไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ดังนั้นจึงมีการเสนอให้มีการตั้งพันธมิตรสหรัฐและอินเดียเพื่อรองรับปฏิบัติการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากเพราะอินเดียเองก็มียุทธศาสตร์ของตนในทางเป็นปฏิกิริยาต่อจีน 

แต่แม้จะดูไม่ยาก ในทางปฏิบัติมันกลับยาก ประการสำคัญก็คือรัฐบาลทรัมป์มีอาการลูกผีลูกคนกับอินเดีย และบางครั้งลงโทษอินเดียด้วยซ้ำ ทำให้อินเดีย "ประกาศอิสรภาพ" ไม่สนองนโยบายของสหรัฐฯ นี่เป็นอุปสรรคที่ทำให้แผนสหรัฐฯ จับมือกับ KIA และหาทางระบายแร่ธาตุหายาก ยังเป็นสิ่งที่เป็นเพียงแผนการอยู่

เรื่องหนึ่งที่ต้องตระหนักก็คือ KIA แม้จะรบกับรัฐบาลทหารเมียนมา และแม้จะแอบไปคุยกับรัฐบาลทรัมป์ แต่ KIA ก็ยอมรับการเป็นคนกลางของจีนในการเจรจากับกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่างๆ 

กระนั้นก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ก็ลูกผีลูกคนพอๆ กับท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ กล่าวคือ แม้ว่า KIA จะยอมให้จีนเป็นคนกลางเจรจาในสงครามกลางเมือง แต่เพราะจีนต้องการให้ซัพพลายแร่ธาตุหายากจากเมียนมามีเสถียรภาพหรือ "เอาแน่เอานอนได้" ในทางหนึ่งจีนก็สนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาและบอกให้เมียนมาทำเหมืองแร่หายากอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขณะเดียวกัน แม้จีนจะพยายามเป็นโซ่ทองคล้องใจระหว่างรัฐบาลทหารกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่จีนเห็นว่าควรจะโน้มเอียงไปทางรัฐบาลทหารมากกว่า หรือเห้นว่าพวกกลุ่มติดอาวุธดื้อด้านเกินไป จีนก็จะกดดันกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านรัฐบาลด้วยการปิดกั้นการค้าชายแดน เพื่อให้กลุ่มเหล่านี้ยอมคล้อยตามความพยายามในการเจรจาสันติภาพ 

การปิดชายแดนหมายถึงรายได้ที่ลดลง และทำให้กองกำลังต่างๆ ซื้ออาวุธยุทธปัจจัยได้ยากขึ้น ดังนั้น กลุ่มติดอาวุธจึงยอมไม่ได้ KIA ก็เช่นกัน แต่ KIA ไม่กล้าท้าทายตรงๆ โดยอธิบายว่าการไม่ส่งแร่ธาตุหายากไปยังจีนนั้น "การดำเนินการทั้งหมดถูกระงับเนื่องจากเราขาดแคลนวัสดุที่จำเป็นสำหรับการทำเหมือง"

จากนั้นอีกครึ่งปีต่อมาก็มีข่าวว่า KIA กับรัฐบาลสหรัฐฯ หารือกันเรื่องแร่ธาตุหายาก และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น (เดือนกรกฎาคมปีนี้) มีรายงานข่าวว่าจีนก็ยังเร่งรัดให้มีการหยุดยิงในเมืองบะมอในรัฐกชีน (ตั้งอยู่บนเส้นทางถนนที่เชื่อมระหว่างภาคเหนือของพม่ากับมณฑลยูนนานของจีน) ระหว่างกองทัพเมียนมาและ KIA เพื่อที่จะควบคุมเสถียรภาพของเส้นทางส่งแร่ธาตุหายาก

เจ้าหน้าที่ของ KIA เปิดเผยกับ Reuters ว่า จีนใช้ทั้งกลยุทธ์ที่อ่อนโยนและแข็งกร้าว โดยสัญญาว่าหาก KIA สละสิทธิ์เหนือดินแดนเมืองบะมอ จีนก็จะส่งเสริมการค้าชายแดน แต่ “หากเรา (KIA) ไม่ยอมรับ จีนจะปิดกั้นการส่งออกของรัฐคะฉิ่น รวมถึงการส่งออกแร่ธาตุหายากด้วย”

การที่ด่านที่รัฐกะชีนเพิ่งจะมาผ่อนปรน (ไม่ได้เปิดเต็มที่) เมื่อเดือนตุลาคมนี้เอง แสดงให้เห็นว่า KIA ยังไม่ยอมจำนนกับคำขู่ของจีน

ทั้งหมดนี้บางคนอาจมองว่า เป็นเพราะจีนเล่นเกมที่อันตรายเกินไปจึงควบคุมสถานการณ์ได้ไม่เต็มร้อย ซึ่งก็โทษจีนไม่ได้ว่า "ไม่เก๋าพอ" เพราะไม่มีใครที่จะเป็นผู้ชนะร้อยเปอร์เซนต์ในสงครามกลางเมืองเมียนมา ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในโลก

เรื่องนี้มีสองมุมมอง มุมมองแรกเราเชื่อว่าคนที่เสียประโยชน์ไม่ใช่จีน เพราะจีนมีแร่ธาตุหายากที่มากที่สุดในโลกอยู่แล้ว KIA ต่างหากที่ต้องพึ่งพาจีนในการส่งออกแร่ธาตุหายากไปทำการแปรรูป (เพราะขาดเทคโนโลยีและมีไม่กี่ประเทศที่ทำแบบนั้นได้) KIA ยังต้องมีแหล่งรายที่เสถียรเพื่อนำมาป้อนเครื่องจักรสงครามของตนด้วย หากขาดจีนแล้วจะไปหาเงินจากที่ไหนได้ 

ดังนั้นคนที่ต้องอดทนคือ KIA และความอดทนก็มีขีดจำกัด เพราะยิ่งไม่ยอมเชื่อฟังจีน เงินก็จะยิ่งขาดมือ เมื่อคิดจะหันไปพึ่งพาสหรัฐฯ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็มีแค่ความสนใจ ไม่อาจปฏิบัติได้จริงเพราะเงื่อนไขจำกัดอย่างมาก  

แต่มุมมองที่สองเชื่อว่า คนที่เสียหายคือจีน เพราะจีนต้องการการนำเข้าแร่ธาตุหายากจากภายนอก และคนใน KIA ก็เชื่อมั่นแบบนี้ 

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - Kachin Independence Army cadets in October 2016. by Paul Vrieze (VOA) / Public Domain

TAGS: #รัฐกะชีน #เมียนมา #แร่ธาตุหายาก