ผมเคยบอกแล้วว่า "ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา" เป็นข้อตกลงสันติภาพจอมปลอม แล้วมันจะพังลงในที่สุด
ไม่ใช่ว่าสันติภาพไม่ดี แต่เพราะมันเป็นสันติภาพที่เกิดจากการขู่เข็ญของโดนัลด์ ทรัมป์ และการฉวยโอกาสของมาเลเซีย โดยไม่ได้ดูตื้นลึกหน้าบางของความขัดแย้งของไทยกับกัมพูชา
เมื่อมันเป็นข้อตกลงที่ผิดธรรมชาติ สักวันหนึ่งมันก็จะถูกฉีก
ต่อให้มันดีเลิศหรือไทยได้เปรียบแค่ไหนก็ตาม มันก็จะอยู่ไม่ยืด เพราะปัญหาพื้นฐานไม่ได้แก้ไข โดยประการแรกคือ การที่ทั้งสองประเทศ "ใช้ความขัดแย้งเป็นวาระทางการเมือง" เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองในบ้านเมืองตน และประการที่สองคือ "ความเกลียดชังทางประวัติศาสตร์" ของทั้งสองประเทศได้วิวัฒนาการมาถึงจุดสุดยอดแล้ว
หากจัดการสองข้อนี้ไม่ได้ ต่อให้ทรัมป์บีบให้ผ่านข้อตกลงสันติภาพอีกกี่ครั้ง มันก็จะล่มดังเดิม
แต่โปรดทราบว่า ไม่ใช่แค่"ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา" เท่านั้นที่ถูกฉีก
ในช่วงที่กัมพูชาลอบมาวางทุ่นระเบิดจนทหารไทยขาขาดอีกครั้ง ที่อินเดียและปากีสถานก็เกิดเหตุที่บ่อนทำลาย "ข้อตกลงสันติภาพ" ที่ทรัมป์อุตส่าห์ปลุกปั้น (แบบปลอมๆ) ขึ้นมา
นั่นคือ เหตุคาร์บอมบ์กลางกรุงนิวเดลีและอิสลามาบัดที่ปากีสถาน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนไล่เลี่ยกันและเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย
ทั้งนี้ เหตุระเบิดเกิดขึ้นในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดียและปากีสถานภายใน 24 ชั่วโมง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย เมื่อวันที่ 10 เกิดเหตุรถยนต์ที่จอดอยู่ระเบิดใกล้กับป้อมแดง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในนิวเดลี ประเทศอินเดีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และอีกหนึ่งวันต่อมา เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายหน้าอาคารศาลในกรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน คร่าชีวิตผู้คนไป 12 ราย
ตอนนี้ยังจับมืใครดมไม่ได้ แต่อินเดียก็ย่อมเชื่อว่า "ก่อการร้ายสายปากีสถาน" เป็นคนทำ (สำนักข่าว NDTV ในอินเดียรายงานว่าตำรวจอินเดียได้ระบุตัวแพทย์ชาวแคชเมียร์ 3 รายในฐานะผู้ต้องสงสัย และกำลังสืบสวนความเป็นไปได้ที่ปากีสถานอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง) ส่วนรัฐบาลปากีสถานก็อาจชำเลืองมาที่ "อินเดียในฐานะผู้ต้องสงสัย" ได้เหมือนกัน (สำนักนายกรัฐมนตรีปากีสถานระบุในแถลงการณ์ว่า "อินเดียสนับสนุนการก่อการร้ายโดยใช้ดินแดนอัฟกานิสถาน" และชี้ว่ากลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน TTP (ตาลีบันปากีสถาน) ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้เกิดความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างปากีสถานและอัฟกานิสถานเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นผู้ก่อเหตุ)
สำนักข่าว Bloomberg รายงานเมื่อวันที่ 11 (เวลาท้องถิ่น) ว่า “ความไม่ไว้วางใจระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์ (อินเดียกับปากีสถาน) กำลังทวีความรุนแรงขึ้น และความหวาดกลัวต่อความขัดแย้งทางทหารครั้งใหม่กำลังเพิ่มมากขึ้น”
นี่อาจจะเป็นเหตุที่จะทำให้ทั้งสองประเทศเผชิญหน้ากันได้อีก และเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำว่าความเป็น "นักต่อรองสันติภาพ" ของ ทรัมป์ เป็นแค่เรื่องจัดตั้ง เป็นของกำมะลอ ไม่เพียงไม่แก้ปัญหา แต่ยังใช้ความต้องการอยากมีชื่อเสียงของตน กดทับปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจนบีบเค้น กระทั่งระเบิดออกมาในที่สุด
ส่วนข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่ฉนวนกาซา หรือ "แผนสันติภาพ 20 ประการ" นั้นก็ไม่จีรังยั่งยืนเช่นกัน เพราะสำนักข่าว Politico อ้างเอกสารภายในของรัฐบาลทรัมป์ รายงานว่า "บทบัญญัติสำคัญหลายประการของข้อตกลงสันติภาพกาซานั้นยากที่จะนำไปปฏิบัติ จะส่งผลให้ข้อตกลงล้มเหลว"
แม้แต่ภายในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็มีรายงานว่ามีเสียงวิจารณ์วิพากษ์วิจารณ์แผนสันติภาพ 20 ประการของทรัมป์ "ว่างเปล่าและขาดการนำไปปฏิบัติจริง"
เพราะความกระหายอยากได้แสงและรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพของทรัมป์แท้ๆ ที่นำไปสู่การเผชิญหน้าที่อาจจะหนักขึ้นของไทย-กัมพูชา และระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน และความเร่งรีบที่จะคว้าแสงจากการหยุดยิงในกาซา ก็จะทำให้ดินแดนนั้นวุ่นวายหนักเข้าไปอีก
พูดสั้นๆ ก็คือ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ไทย-กัมพูชา แต่ถ้าทรัมป์มีเวลาจริงๆ ก็ต้องมาแก้ไข "ขี้" ที่ตัวเองทิ้งไว้ในความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน และอิสราเอล-กาซา ด้วย
ในกรณีของความขัดแย้งไทย-กัมพูชา สื่อเขมรยังมี "โมหะ" ไม่หยุดหย่อนว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า โดยเริ่มที่จะเยาะเย้ยไทยว่า "ไม่กลัวทรัมป์จะลงโทษด้วยภาษีหรอกหรือ?" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าที "เลียแข้งเลียขาอเมริกัน" โดยสันดานเพื่อหวังดึงมือที่สามมาแทรกแซงเรื่องของสองประเทศ
ประเทศไทยย่อมกำหนดมาตรการรองรับไว้แล้วในเรื่องนี้ พวก "เขมรต่ำ" ไม่จำเป็นต้องมาเป็นแสร้างห่วงใย ผมจะบอกให้ว่ากัมพูชานั่นแหละที่ระวังสถานะของตัวเองให้ดี
ในเวลานี้ ทรัมป์ไม่มีเวลามาสนใจ "ความล้มเหลว" ของตัวเองที่พยายามเป็นนายหน้าค้าสันติภาพแต่ล้มเหลวไปหมดทุกแนวรบ เพราะเป้าหมายของเขาในการเวียนๆ วนๆ ที่เอเชียก็คือการมาตกลงกับจีน
เมื่อได้ข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ทรัมป์ก็สบายใจ แล้วหันไปแก้ปัญหาในบ้านตัวเองมากมายเกินจะแก้ไหว เช่น ความเกลียดชังรัฐบาลของเขาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจนอาจทำให้พรรครีพับลิกันแพ้เลือกตั้งกลางเทอม แล้วพรรคเดโมแครตอาจจะได้เสียงข้างมากในบางสภา ทำให้เขาทำตามใจชอบได้ยาก นี่เป็นเรื่องเฉพาะหน้ายิ่งกว่าเรื่องไหน
ยังไม่นับความพยายามที่จะปกปิดความสัมพันธ์ของเขากับ เจฟรีย์ เอปสตีน พ่อค้ากามที่มีเส้นสายกับคนมีอำนาจทั่วโลก แต่แล้วการเปิดโปงเส้นสายนั้นก็เพิ่งทำให้เจ้าชายแอนดรูว์แห่งอังกฤษ กลายเป็นสภาพเป็น "อดีตเจ้าชาย" และลงมาเดินดินเป็นสามัญชนที่ผู้คนรังเกียจ
ทรัมป์พยายามปกปิดไม่ให้คนเห็น "ไฟล์คดีเอปสตีน" เพราะกลัวว่าชื่อของตนจะโผล่ออกมาด้วย หากมีหลักฐานชัดว่าเขาเกี่ยวข้องกับการขบวนการค้ากามและค้ามนุษย์ ทรัมป์ก็อาจถูกรัฐสภาตั้งข้อหาและถอดถอนจาการเป็นประธานาธิบดีได้ ซึ่งมันจะเป็นจริงมากขึ้นหากการเลือกตั้งกลางเทอมผลออกมาว่า รีพับลิกันสียตำแหน่งเสียงส่วนใหญ่ในสภา
ผมเชื่อย่างที่ เดวิด เคย์ จอห์นสตัน (David Cay Johnston) นักข่าวสายสืบสวนและนักเขียนชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และภาษี และผู้ชนะรางวัลพูลิตเซอร์ กล่าวว่า "หากทรัมป์ถูกมองว่าอยู่ใน "สถานะที่เสี่ยง" ในไฟล์คดีของเอปสตีน เขาจะถูกถอดถอนจากตำแหน่งหรือไม่ก็ต้องลาออก"
วันที่เขียนบทความนี้ ก็พอดีเสียเหลือเกินที่มีการเผยข้อมูลไฟล์คดีเอปสตีนออกมาอีกแล้ว ทรัมป์ ยิ่งนั่งไม่ติดไม่เรื่องๆ
เพียงแค่สองเรื่องนี้ ทรัมป์ ก็ไม่มีเวลามาสนใจทำตัวเป็นนายหน้าค้าสันติภาพอีกต่อไปแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งคือกระแสต่อต้านการกระทำของมาเลเซีย (และกัมพูชา) ในอาเซียน ซึ่งลากเอา "มือที่สาม" คือ ทรัมป์และรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงกลไกของอาเซียนจนรวนไปหมด
ในไทยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะชิงชัง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย "เหมือนอุจจาระ" เพราะโยนอุจจาระมาให้เป็นภาระของไทยก่อน แล้วตัวเองก็กอบโกยแสงด้วยการโฆษณาว่าเป็น "ผู้ดีลข้อตกลงสันติภาพ" ทั้งๆ ที่ตอนแรกทำอะไรก็ไม่ได้เลย แต่พอทรัมป์เสนอตัวมาก็สบโอกาสฉายแสงให้ตนเองในสปอตไลท์ตัวเดียวกับของทรัมป์ และยังใช้โอกาสนี้ได้ข้อตกลงการค้ากับทรัมป์ บน "ความฉิบหาย" ของฝ่ายไทย
นอกจากไทยจะเกลียด อันวาร์ จนแทบจะอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้แล้ว คนในมาเลเซียเองก็ยังตั้งคำถามกับ อันวาร์ เรื่องเชิญทรัมป์เข้ามาว่ามันควรหรือ? เพราะทำให้ระบบในภูมิภาครวนไปหมด อีกทั้ง ทรัมป์ เองยังสนับสนุนอิสราเอล ซึ่งเป็นรัฐที่มาเลเซียไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย นี่ไม่เท่ากับทรยศหลักการหรือ?
ต่อมา อดีตประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย คือ ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน ก็ต่อว่า อันวาร์ ในทำนอง "ชักศึกเข้าอาเซียน" ด้วยการเชิญทรัมป์เข้ามาจนกระทั่งทำลายกลไกของอาเซียนที่เคยแก้ปัญหาภายในกันเองได้ นี่แสดงว่า อันวาร์ กลายเป็นแกะดำในภูมิภาคนี้ไปแล้ว เพราะเอาดีเข้าตัว บนความเสียหายของภูมิภาค ของประเทศตน และของประเทศไทย
ข้อกล่าวหาที่ผู้นำมาเลเซียเผชิญอยู่นี้ กัมพูชาก็ต้องแบกรับด้วย เพราะไปเชิญทรัมป์เข้ามาก่อน แต่คนยังไม่ด่าเรื่องนี้มากนัก เพราะเหนื่อยกับการด่าประเทศนี้มากพอแล้วเรื่องสแกมเมอร์ จึงไปด่ามาเลเซียแทน
หากกัมพูชาคิดว่าการเชิญทรัมป์เข้ามาเป็นเรื่องดี ก็เตรียมตัวเป็น "หมาหัวเน่า" ในอาเซียนได้เลย เพราะแม้แต่ อันวาร์ ก็เป็นแกะดำไปแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความวุ่นวายของ ทรัมป์ ที่จะต้องรับมือกับปัญหาเรื่องความมั่นคงทางการเมืองของเขาในอนาคตอันใกล้ๆ จนไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องของไทย กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน หรือที่อื่นๆ
แน่นอน ทรัมป์ อาจจะเอ่ยถึงเรื่องนี้บ้างและอาจจะข่มขู่ไทย แต่ผมเชื่อว่าทีมของรัฐบาลและข้าราชการไทยคงพร้อมที่จะ "ล็อบบี้" ให้พวกอเมริกันอยู่ห่างๆ ความขัดแย้งกับกัมพูชาในตอนนี้
หาก ทรัมป์ เงียบไปในที่สุด กัมพูชาก็เตรียมเนื้อเตรียมตัวได้เลย
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP