ในเวลานี้จีนกำลังดำเนินมาตรการ "รัดคอ" ชาติตะวันตกด้วยการจำกีดการส่งออกแร่ธาตุหายาก (rare earth) เพื่อเป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับจีนและสั่งห้ามจีนเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ชั้นสูง และยังเป็นการตอบโต้ชาติตะวันตกที่บีบจีนเรื่องการค้าและการเมือง
จีนเป็นแหล่งแร่ธาตุหายากอันดับหนึ่งของโลก เมื่อจีนปิดประตูไม่ให้นำออกไป ธุรกิจภาคเทคโนโลยีของตะวันตกก็จะซี้แหงแก๋ และในเมื่อภาคเทคโนโลยีคือสมรภูมิสำคัญที่ตะวันตกและตะวันออกจะใช้ "รบ" กัน ก็เท่ากับว่าจีนกำลังถือไพ่เหนือกว่า
แม้ว่าในเวลานี้จีนจะยังก้าวไม่ทันสหรัฐฯ ในเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ แต่หากจีนเล่นเกมยาวเรื่องการจำกัดแร่ธาตุหายาก มันก็จะกระทบต่อพัฒนาการของภาคนี้ในตะวันตกอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นเกมยาว แต่ผมเห็นว่าระยะของเกม (หรือสงคราม) ครั้งนี้คือ "ระยะกลาง" ในระหว่างที่เยี่ยมชมห้องจัดแสดงเทคโนโลยีของบริษัทหัวเหวย (Huawei) ที่กรุงปักกิ่งเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้สอบถามว่า หัวเหวยตั้งเป้าไว้กี่ปีในการผลิตเซมิคอนดักตอร์ที่เท่าทันกับผลิตภัณฑ์ของ Nvidia
พนักงานของหัวเหวยพยายามตอบอย่างถ่อมตนว่าไม่มีการแข่งขันและไม่น่าจะแซงได้ในเวลาอันสั้น แต่บอกว่า "ใช้เวลาอีกประมาณ 5 - 10 ปี" ในการก้าวในทัน Nvidia"
กระนั้นก็ตาม ชิปของหัวเวยบางรุ่นเริ่มที่จะใช้แทนที่ชิป Nvidia ได้แล้ว อันเป็นยุทธศาสตร์ในการพึ่งพาตัวเองของจีนในช่วงเวลาที่ถูกสหรัฐฯ ปิดล้อมด้วย "เรือปืนภาษี" และยังห้ามเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ชั้นสูง
แม้จะตอบอย่างถ่อมตนเช่นกันต่อคำถามเรื่องที่หัวเหวยมองเห็นเค้ารางของสงครามการค้าหรือไม่? พนักงานหัวเหวยบอกกับผมว่า เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเหวยมองเห็นเค้ารางของสงครามการค้ามานับทศวรรษแล้ว และ "เราเตรียมพร้อมกับเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ"
ในขณะที่สหรัฐฯ เพิ่งจะเริ่มทำสงครามการค้าและภาษีกับจีน แต่จีนมองเห็นวี่แววของสงครามมาน จึงวางแผนที่จะตอบโต้อย่างเป็นระบบไว้แล้ว หนึ่งในนั้นคือการจำกัดการเข้าถึงแร่ธาตุหายากมาตั้งแต่ครั้งสงครามกาารค้าและยิ่งใช้ไม้นี้บีบตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้รัฐบาลบางประเทศจะยัง "ปากแข็ง" อยู่ แต่แท้จริงแล้วสงครามแร่ธาตุหายากกำลังสั่นสะเทือนรากฐานของโลกตะวันตก
ในเดือนตุลาคมนี้มีข่าวว่าประเทศแรกๆ ที่ยอม "คุกเข่า" ให้จีนคือเยอรมนี ซึ่งบริษัทต่างๆ ไม่อาจเข้าถึงแร่ธาตุหายากได้ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน จึงยอมทำตามเงื่อนไขของจีนด้วยการเปิดเผยข้อมูลลับทางธุรกิจให้จีนเพื่อแลกกับการเข้าถึงแร่ธาตุหายาก
รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนีพยายามที่จะต่อรองจีนในเรื่องนี้ แต่กลับต้องยกเลิกการหารือกับจีนกระทันหัน มีข่าวกระแสหนึ่งว่า "ถูกจีนปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ"
อีกประเทศเหมือนกันที่กำลังกลืนเลือดตัวเอง คือเนเธอร์แลนด์ ในเดือนนี้รัฐบาลดัตช์ต้องเทคโอเวอร์บริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์โดยอ้างเรื่องความมั่นคงของชาติและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของยุโรป
Nexperia นั้นถูกซื้อโดยบริษัทจีน Wingtech Technology เมื่อปี 2018 (เป็นบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจของจีน) แต่เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเจ้าของ Wingtech ในปี 2024 ปัจจุบัน ทำให้ Nexperia เสี่ยงที่จะเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ (ซึ่งยังเป็นเจ้าแห่งการผลิตเซมิคอนดักตอร์และประเทศต่างๆ ยังต้องพึ่งพากันอยู่) เรื่องนี้เองที่ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าซื้อกิจการ Nexperia เนื่องจากเกรงว่าจะสูญเสียการเข้าถึงชิปสำคัญ
แต่รัฐบาลจีนก็ตอบโต้ด้วยการสั่งห้าม Nexperia ส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศจีน และยังมีข่าวว่าเจ้าของคือ Wingtech จะย้ายฐานการผลิตของ Nexperia ไปยังจีนด้วย
กรณีของเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์นั้นสะท้อน "แนวรบ" ของสงครามแร่ธาตุหายากสองรูปแบบ รูปแบบแรกคือการปิดทางไม่ให้เข้าถึงแร่ธาตุหายาก บีบให้เป้าหมายต้องยอมจำนน รูปแบบที่สองคือการเข้าครอบครองบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้แร่ธาตุหายาก
ในรูปแบบการรบแบบหลังนั้น จีนวางแผนมาตั้งแต่เนิ่นๆ หรือไม่ เราไม่อาจทราบได้ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่แหลมคมยิ่งนัก เพราะทิ่มแทงยุโรปเข้าไปเต็มๆ
แต๋โปรดพิจารณาคำกล่าวของ อัลตีนาย จูนูโซวา (Altynay Junusova) นักวิเคราะห์ของสถาบันเมอร์เคเตอร์เพื่อการศึกษาจีน (MERICS) ที่กล่าวว่า "ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศในยุโรปได้อนุมัติการลงทุนของจีนในด้านต่างๆ ที่ปัจจุบันถือว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันพวกเขากำลังพิจารณาหาวิธีควบคุมความเสียหาย กรณีของ Nexperia ส่งสัญญาณไปยังปักกิ่งว่า การถือครองหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้รับประกันการควบคุมอีกต่อไป และยุโรปก็จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อปกป้องเทคโนโลยีสำคัญและปกป้องผลประโยชน์ของตนจากการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน"
ในคำกล่าวนี้มีการบ่งนัยว่ายุโรปนิ่งนอนใจเกินไปที่ปล่อยให้จีนเข้าครอบครองธุรกิจด้านความมั่นคง และตอนนี้ต้องเร่งแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะกำลังถูกดึงเข้าไปในสงครามแร่ธาตุหายาก-เซมิคอนดักเตอร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ความนิ่งนอนใจของยุโรปนั้นแต่แรกไม่ใช่ความนิ่งนอนใจ แต่มองไม่ออกว่าแร่ธาตุหายาก-เซมินคอนดักเตอร์จะเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามไปได้ จนกระทั่งเกิดสงครามการค้าที่ทำให้แร่ธาตุหายากถูกจำกัดการเข้าถึง และเกิดการระบาดใหญ่ที่ทำให้เซมินคอนดักเตอร์ขาดแคลน
โลกเพิ่มมาตระหนักเมื่อเร็วๆ นี้แต่จีนอาจจะมองออกมาตั้งนานแล้ว อย่างที่คนที่หัวเหวยบอกกับผมไว้
เมื่อยกเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ให้กับไทย ผมรู้สึกว่าสถานการณ์มันทั้งเหมือนและไม่เหมือนที่เกิดขึ้นกับยุโรป แต่โดยรวมแล้ว "ไทยได้พาตัวเองเข้าไปสู่สงครามเรียบร้อยแล้ว"
ที่ไม่เหมือนกับกรณีที่ยุโรปก็คือ ไทยมีแร่ธาตุหายากจำนวนหนึ่งแม้ไม่มาก แต่ก็เป็นผู้ผลิตปลายน้ำที่สำคัญของโลก คือเป็นผู้ผลิตอันดับที่ 6 ของโลก ยุโรปไม่ได้มีแต้มต่อในเรื่องนี้กับจีนและกับสหรัฐฯ
นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่การทำข้อตกลงกับไทยเรื่องแบ่งปันข้อมูลแร่ธาตุหายากระหว่างรัฐบาลไทยกับประธานาธิบดี โดนัลด์แห่งสหรัฐฯ เท่ากับเป็นการช่วยสหรัฐฯ กระจายความเป็นไปได้ในการเข้าถึงแร่ธาตุหายาก และช่วยสหรัฐฯ เสริมความมั่นคงในการเข้าถึงแร่หายากในกรณีที่จีนปิดกั้นการเข้าถึงมากขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือ ไทยคือตัวช่วยของสหรัฐฯ ในการรับประกันว่าจะมีแร่ธาตุหายากในช่วงที่กำลังทำสงครามเรื่องนี้กับจีน
แม้จะเป็นการแบ่งปันข้อมูลการสำรวจและลงทุน แต่มันก็คือการช่วยกันอยู่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือครั้งนี้คงไม่ได้มาเพราะความเสน่หาต่อสหรัฐฯ เพราะคงเป็นเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ขอมาให้ไทยยอมรับหาต้องการไม่ให้ถูกเก็บภาษีสูงๆ
จีนก็คงเข้าใจไทยในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับที่จีนเข้าใจกัมพูชาที่เชิญสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงอาเซียนเพื่อเอาตัวรอดจากสงครามกับไทย
และจีนก็คงต้องยอมใจให้กับอีกสองสามประเทศที่มีข้อตกลงแบบเดียวกับทรัมป์ เช่น มาเลเซียที่มีขึ้นพร้อมไทย และเวียดนามที่รอการตกลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยเวียดนามนั่นมีแร่ธาตุหายากอันดับต้นๆ ของโลก
ทั้งหมดนี้เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสิ้น และทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็น "จุดรวม" ของความขัดแย้งในสงครามแร่ธาตุหายาก-เซมินคอนดักเตอร์ขึ้นมาในทันที
นี่คงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ เช่นกัน ที่หันมา "มองใต้" มากขึ้นหลังจากที่ทอดทิ้งอาเซียนไปหลายปี จนจีนเข้ามาผูกมิตรและใกล้ชิดขึ้น แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รัฐบาลทรัมป์ใส่ใจอาเซียนให้มากหากจะสู้จีน บางทัศนะนั้นชี้ให้เห็นว่าไทยกับเวียดนามคือ "เพื่อน" ที่สหรัฐฯ จะต้องผูกใจไว้ หากต้องการเล่นงานจีน
ทรัมป์จึงเดินทางมาอาเซียนด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะมาเอาแสงในการลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาเท่านั้น
ผมเกริ่นไว้ว่ากรณีในยุโรปนั้นมีทั้งที่เหมือนกับที่ไทยประสบและไม่เหมือนกับที่ไทยเจอ ส่วนที่ไม่เหมือนคือ ไทยกุมแร่ธาตุหายากไว้
แต่ที่เหมือนกับยุโรปคือ รัฐบาลไทยมองไม่ออกว่าสงครามนี้จะนำความพินาศมาสู่ตนได้อย่างไร เหมือนที่ยุโรปมองไม่เห็นว่าจีนเข้าคุมบริษัทเซมิคอนดักเตอร์เอาไว้ตั้งแต่หลายปีก่อน
พูดง่ายๆ ก็คือ ไทยอาจจะเลินเล่อเกินไปที่ผูกสัมพันธ์กด้านแร่ธาตุหายากกับสหรัฐฯ เพราะผลที่ตามมาอาจหมายถึงการถูกบีบให้สหรัฐฯ กอบโกยมันไป และอาจหมายถึงการที่จีนอาจจะบีบเราด้วย
แม้จะมีเหตุที่ต้องทำข้อตกลงนั้น แต่รัฐบาลไทยควรป้องกันแต่เนิ่นๆ ด้วยการออกกฎหมายผูกมัดตัวเองไม่ให้ถูกมหาอำนาจทั้งสองใช้เป็นเบี้ยในสงคราม หากทำไม่ได้ขนาดนั้น อย่างน้อยก็ "ดูด" การลงทุนขั้นทุติยภูมิและหรือตติยภูมิจากทั้งสองฝ่ายก็ยังดีด้วยมาตรการอันชาญฉลาด
ตัวอย่างเช่นมาเลเซียที่ทำข้อตกลงสำรวจแร่ธาตุหายากกับทรัมป์ในช่วงเวลาเดียวกับไทย โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว มาเลเซียจะต้องไม่ห้ามหรือกำหนดโควตาการส่งออกแร่ธาตุสำคัญหรือธาตุหายากไปยังสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็รับประกันว่าจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในการขายแม่เหล็กหายากให้กับบริษัทสหรัฐฯ
แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียได้กล่าวว่า จะยืนยันนโยบายแร่ธาตุหายากโดยห้ามการส่งออกแร่ธาตุต้นน้ำหรือแร่ธาตุที่ยังไม่ผ่านการแปรรูป ข้อห้ามดังกล่าวไม่ได้ห้ามการส่งออกแร่ธาตุหายากที่แปรรูปแล้ว มาเลเซียจคงออกแบบข้อกำหนดที่รักษาแร่ธาตุของตนเอาไว้ แต่แร่ที่แปรรูปที่อาจนำเข้ามาจากที่อื่นแล้วเพิ่มมูลค่าในมาเลเซียส่มารถส่งออกได้
ดังที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนกล่าวว่าเงื่อนไขนี้ "ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนแสวงหากิจกรรมที่มีมูลค่าสูงภายในประเทศ"
นี่เป็นแนวทางที่ไทยควรจะทำเช่นเดียวกัน เป็นหนทางที่เหมาะสมสำหรับประเทศที่ไม่มีอะไรต่อรองกับประเทศใหญ่ได้เลย ได้แต่แยมรับการบีบคั้นให้เปิดตลาดเแร่ธาตุหายาก
แต่หากกำหนดมาตรการที่ให้แร่ธาตุหากยากเป็นเรื่องของความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้นว่าไทยจะถูกบีบให้มอบแร่ธาตุหากยากให้ตะวันตกได้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีเกราะป้องกันตัวเองในช่วงเวลาที่สงครามแร่ธาตุหายาก-เซมินคอนดักเตอร์กำลังคุกรุ่น
สงครามนี้โดยผิวเผินคือสงครามธุรกิจและเศรษฐกิจ แต่โดยเนื้อแท้แล้วคือสงครามการเมือง หรือพูดให้จำเพาะเจาะจงคือ "สงครามเย็น 2.0" ซึ่งสหรัฐฯ บีบให้เราเลือกข้างเขาและจะยิ่งบีบมากขึ้นเพราะรัฐบาลทรัมป์ "มองใต้" มายังอาเซียนมากขึ้น (ต้องขอบคุณกัมพูชาจริงๆ ในเรื่องนี้!) ผลก็คือเอเชียตะวันออกเฉีงใต้ถูกลากเข้าไในสงครามระหว่างยักษ์สองตนในที่สุด
เรื่องนี้คาดเดาได้อยู่แล้วเช่นกัน แต่สิ่งที่ไทยควรทำคือคาดเดาไว้นานแล้วหรือยัง และเตรียมไว้มากพอหรือเปล่า?
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา (ขวา) จับมือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ในพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ท่ามกลางการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (ภาพโดย ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)