ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้ให้โอกาสคณะสื่อมวลชนชาวไทยมาพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน ที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณประชาชนจีน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน โดยในโอกาสนี้ The Better ได้รับความอนุเคราะห์ให้เข้าร่วมการเสวนาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ด้วย
ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย ได้แสดงทัศนะและตอบคำถามสื่อมวลชนไทยไว้หลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเบื้องต้นนั้น ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการมอบหมายจากท่านประธานาธิบดี สีจิ้นผิง มารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยที่มีอำนาจเต็มเป็นคนที่ 14 ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกว่ามีภาระที่หนักแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จีนกับไทยเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง ทั้งสองประเทศยืนหยัดที่จะเคาพกันและกัน มีความช่วยเหลือที่เป็นมิตร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย ชี้ว่าความสัมพันธ์จีนไทยทั้งสองประเทศได้พัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเพราะว่าผู้นำทั้งสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการที่จะชี้นำความสัมพันธ์และก็มีการชี้นำทางยุทธศาสตร์ ซึ่งราชวงศ์ของประเทศไทยทรงมีความเป็นห่วง และทรงมีความสนพระทัยที่จะพัฒนาความสัมพันธ์จีนไทยอย่างต่อเนื่อง มิตรภาพที่เรียกว่า "จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน" ได้มาจากความสัมพันธ์ที่คบหากันมากว่าหนึ่งพันปี และทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดต่อกันเพราะว่าประชาชนทั้งสองประเทศมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสร้างประโยชน์ให้กับให้กับการทำงานของทั้งสองประเทศด้วย ในขณะเดียวกันก็สร้างประโยชน์ให้กับความเจริญก้าวหน้าด้านความมั่นคงของภูมิภาค ซึ่งความสัมพันธ์ที่ว่า "จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน" นั้นก็ได้สร้างพลวัตรที่สำคัญให้ความสัมพันธ์นั้นพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญก่อนหน้านี้ คือ การจัดพิธีสวนสนามที่ยิ่งใหญ่มโหฬารเพื่อระลึกถึงสงครามที่ประชาชนจีนต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นในโอกาสครบรอบ 80 ปีของสงครามต่อต้านฟาสชิสต์ ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ก็เพื่อที่จะจดจำประวัติศาสตร์รำลึกถึงบรรพบุรษและทนุถนอมมิตรและส่งเสริมความร่วมมือในอนาคต ซึ่งสงครามต่อต้านญี่ปุ่นของประชาชนจีนนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญมากของสงครามต่อต้านฟาสชิสต์ของชาวโลก ประชาชนชาวจีนก็ได้ใช้ความเสียสละ กอบกู้อารยธรรมของมนุษยชาติ และสร้างประโยชน์ให้กับการรักษาสันติภาพให้กับโลก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ หลังสงครามโลกการที่ไต้หวันได้กลับคืนสู่แผ่นดินใหญ่ของประเทศจีนนั้นก็เป็นส่าวนประกอบที่สำคัญมากของชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากของระเบียบโลกหลังสงคราม ซึ่งคำประกาศไคโรและข้อตกลงต่างๆ ก็ได้กำหนดว่าประเทศจีนมีอำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวันและมติ 2785 ของสหประชาชาตินั้นก็ได้กำหนดอย่างชัดเจนว่าในโลกนี้มีเพียงจีนเดียว ไม่มีที่ว่าจีนหนึ่ง ไต้หวันหนึ่ง ประวัติศาสตร์ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงได้
"ระเบียบโลกนั้นเราต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง เราต้องรักษาผลงานชัยชนะของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และระเบียบโลกหลังสงคราม เราต้องยืนหยัดนโยบายจีนเดียว หลักการจีนเดียว เราคัดค้านกิจกรรมต่างๆ หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่มุ่งหมายผลักกันไต้หวันเป็นเอกราช เราต้องคัดค้านำพฤติกรรมหรือการกระทำต่างๆ ที่อยากจะบิดเบือนการบุกรุก และอยากจะแก้ต่างให้กับอาชญากรสงคราม" ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย ชี้ว่าตอนนี้สถานการณ์โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ภูมิภาคต่างๆ ก็กำลังมีสถานการณ์ที่ปั่นป่วน ส่วนเศรษฐกิจก็กำลังเผชิญหน้ากับภาวะชะลอตัว และยังมีกระแสที่ต่อต้านโลกาภิวัฒน์ด้วย อีกทั้งการรักษาระเบียบไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ อันดันแรกก็คือ ความเป็นอำนาจการบริหารถูกบั่นทอน ซึ่งบทบาทของสหประชาชนและหลักการต่างๆ ของกิจการระหว่างประเทศนั้น ไม่สามารถปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะทำให้กลไกการค้าโลกนั้นไม่สามารถที่จะทำงานได้ ข้อที่สอง การทำงานที่อย่างเป็นประสิทธิภาพไม่สามารถที่จะทำได้ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการของสหประชาชาติ หรือความสามารถในการตอบรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือความโปร่งใสในการทำงานก็มีปัญหาต่างๆ และยังมีบางประเทศซึ่งมีหน้าที่จะส่งเสริมระเบียบโลก แต่ทว่า กลับไม่สามารถทำได้ ข้อที่สามก็คือ ความเป็นตัวแทน (ของโลก) ยังมีความขาดแคลนอยู่ ซึ่งยังมีบางประเทศที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของตนเองจึงทำการขัดขวางการปฏิรูปของสหประชาชาติและองค์ระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากยังขาดสิทธิ์ที่จะพูดในเวทีของสหประชาชาติ
"ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เราจะสร้างระบบการบริหารโลกอย่างไร ทำอย่างไรที่จะปฏิรูประบบบริหารจัดการของโลก เรื่องนี้ เป็นข้อสำคัญที่ประเทศต่างๆ และสังคมโลกกำลังจับตามองอยู่ ซึ่งท่านประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของประเทศจีน ได้มีข้อริเริ่มที่เรียกว่า "ข้อริเริ่มการบริหารของโลก" ซึ่งท่านได้เสนอขึ้นที่การประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งหัวใจสำคัญของข้อริเริ่มนี้ก็คึอ ต้องดำเนินการเรื่องอธิปไตยที่เสมอภาพต่อกัน ต้องเคารพนับถือปฏิบัติตามระเบียบโลกและปฏิบัติอย่างพหุภาคี และให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เน้นที่จะมีการปฏิบัติอย่างจริงจังอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนี้คือภูมิปัญญาและแผนการที่จีนเสนอให้กับการบริหารโลก" ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าว
ข้อแรกก็คือ อธิปไตยต้องเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่ประเทศเล็ก ประเทศเจริญหรืออ่อนเอ ก็มีสิทธิที่จะเข้าร่วมกิจการสังคมโลกอย่างเท่าเทียมกัน ข้อที่สองคือ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ของสังคมโลก ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศหรือว่าจะเเป็นระเบียบต่างๆ ของสังคมโลกนั้น ที่ทุกประเทศร่วมกันตั้งขึ้น ดังนั้นทุกประเทศจะต้องร่วมกันพิทักษ์รักษา ปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ควรจะมีสองมาตรฐานหรือว่าจะใช้เจตนาของตนเองไปบังคับให้คนอื่นทำเรื่องที่ไม่อยากทำ ข้อที่สาม ต้องดำเนินการแบบพหุภาคี เราต้องยืนหยัดหลักการที่ว่าต้องหารือซึ่งกันและกัน ต้องสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน แบ่งปันซึ่งกันและกัน ไม่ควรที่จะทำฝ่ายเดียว ข้อที่สี่ ต้องถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ต้องพยายามทำงานเพื่อที่จะนำความคาดหวังความปรารถนาของประชาชนจีนให้ปรากฏเป็นจริง ร่วมกันสร้างโลกที่ประชาชนรู้สึกว่าเป็นโลกที่ปลอดภัย และเป็นโลกที่มีความสงบสุข ข้อที่ห้า ต้องเน้นที่จะมีการปฏิบัติอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม โดยประเทศที่พัฒนาแล้วต้องทำตามภาระหน้าที่ของตนเอง แบ่งปันทรัพยากร และสิ่งของสาธารณะให้กับประเทศอื่นๆ ด้วย และประเทศกำลังพัฒนาต้องพัฒนาต้องส่งเสริมความร่วมมืออย่างแข็งขันเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้กับโลก

"ฝ่ายจีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับฝ่ายไทย ยืนหยัดทัศนะการบริหารโลกที่เรียกว่า "หารือซึ่งกันและกัน สร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน แบ่งปันซึ่งกันและกัน" เราใช้กลไกทั้งทวิภาคและกลไกภูมิภาคส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การค้า การลงทุน เอไอ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและปฏิบัติข้อริเริ่มการบริหารโลกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะส่งเสริมให้ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันที่จีนกับไทย" ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าว
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยมีความพิเศษ ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย ชี้ว่าเพราะความสัมพันธ์ที่เรียกว่า "จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน" ได้ซึมซาบเข้าไปในหัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศ และมิตรภาพและความสัมพันธ์ ความผูกพันธ์ระหว่างจีนไทยนั้นเกิดจากการไปมาหาสู่กันในประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี
"ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่ามิตรภาพจีนไทยนั้นมีรากฐานทางสังคมและประชาชนที่แน่นแฟ้นมาก และควรจะมีความหวังที่สดใสในความสัมพันธ์จีนไทย ในอีก 50 ปีข้างหน้า" ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าว และเสริมว่า "ภายใต้สถานการณ์โลกที่ผันผวน แปรปรวนในปัจจบันนี้ ถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างจีนไทยพัฒนาขึ้นต่อไป ไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ ความผาสุก อีกทังยังเป็นประโนชน์ต่อการส่งเสริมความมั่นคง ความเจริญ และเสถียรภาพในภูมิภาคด้วย"
ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าวว่า จีนถือว่าประเทศไทยเป็นที่ผลักดันการพัฒนาการทูตระหว่างเพื่อนบ้านซึ่งเป็นความสำคัญอันดับต้นๆ และถือว่าประเทศไทยนั้นเป็นหุ้นส่วนที่จะดำเนินความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเรื่องความร่วมมือมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ถือว่าประเทศไทยเป็นหุ้นส่วน เป็นเพื่อนมิตรที่ดี ที่จะปฏิบัติตามความเริ่มในการพัฒนาของโลก ข้อริเริ่มด้านความมั่นคงของโลก ข้อริเริ่มด้านอารยธรรมของโลก และข้อริเริ่มธรรมาภิบาลโลก โดยที่ประเทศจีนเป็นมิตรที่ประเทศไทยเชื่อถือและพึ่งพาได้โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศึกษา หรือว่าด้านอื่นๆ จีนก็พร้อมที่จะกระชับความร่วมมือกับประเทศไทยให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนไทยแสดงความกังวลเรื่อง "ทุนสีเทา" และข่าวสารด้านลบระหว่างไทยกับจีน ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ยกล่าวว่า ข่าวสารด้านลบในความสัมพันธ์จีนไทย เกี่ยวกับคนจีนที่เรียกว่าสีเทาและคนจีนมาเที่ยวที่ไทยแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ เราต้องมองในแง่ภววิสัย ข้อแรก ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจเกิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดา แม้ว่าในครอบครัวหนึ่งซึ่งเป็นพี่น้องกัน ก็อาจจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ข้อที่สอง เราต้องวิเคราะห์ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือว่าถูกสื่อรายงานอย่างผิดเพี้ยนไป
"ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาเมืองไทยก็มีเพื่อนคนจีนบอกว่าเมื่อพูดถึงประเทศไทยแล้ว ก็อาจรู้สึกว่าไม่มั่นใจที่จะปลอดภัยหรือเปล่า แต่ว่าหลังจากมาทำงานที่ไทยแล้วก็ตระหนักว่า ไม่ใช่แบบนั้นเลย (ไทยไม่ปลอดภัย) จริงๆ แล้วคดีที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีนี้ คือกรณีของหวังซิงถูกลักพาตัวในเมียนมานั้น จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับไทยเลย แต่ว่าสื่อก็รายงานข่าวอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ข้าใจสถานการณ์ที่เป็นจริงของเมืองไทย ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าว และอธิบายว่า "จริงๆ แล้วรัฐบาลไทยก็พยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวชาวจีนให้รู้สึกประเทศไทยปลอดภัยและสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในเมืองไทย ซึ่งสถานทูตจีนก็ทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทย เป้าหมายของเราก็คือ ต้องทำให้ประชาชนชาวจีนนั้น รู้ว่าเมืองไทยเป็นเช่นไร คือปลอดภัยและงดงาม"
หัวข้อที่ว่าทุนจีนสีเทานั้น ตอนนี้ก็เป็นประเด็นถูกจับตามองเป็นอย่างมากโดยคนไทย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนจีนบางคนมาทำงานที่เมืองไทยอย่างผิดกฎหมาย แต่ว่าจริงๆ แล้วเป็นจำนวนที่น้อยมาก ซึ่งตอนนี้ก็มีบริษัทจีนและนักลงทุนจีนสนใจมาลงทุนมาสร้างโรงงานในประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเล็งเห็นว่าประเทสไทยมีสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออารี และในขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีพื้นฐานของประชาชนของทั้งสองประเทศที่เป็นมิตรต่อกัน

ส่วนใหญ่ของบริษัทจีนและนักลงทุนจีนที่มาทำธุรกิจในประเทศไทย พวกมีแนวคิดที่ว่าต้องอยู่ที่ไทยเพื่อประเทศไทย และทางรัฐบาลจีนและสถานทูตจีนก็ได้กำชับกับบริษัทจีนที่ทำธุรกิจในเมืองไทยว่าต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด เวลาทำธุรกิจนั้นก็ต้องดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และต้องมีความรับผิดชอบด้านสังคม ต้องสร้างผลประโยชน์ร่วมกับประชาชน
"บริษัทจีนมาลงทุนมาขยายธุรกิจในประเทศไทยนั้นไม่เพียงแต่สร้างงานให้กับคนไทย ทำประโยชน์ในการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรม เสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย ยกระดับทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น และช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวด้วย ดังนั้น การที่บริษัทจีนมาลงทุน มาสร้างโรงงานในประเทศไทยนั้น ก็ถือเป็นความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย" ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าว แลย้ำว่า "ถ้ามองว่าการที่บริษัทจีนมาลงทุนในไทยจะเอาเปรียบคนไทย ก็ถือเป็นการมองในแง่ลบ และไม่ถูกต้อง"
ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย ยังเผยว่า "เท่าที่ทราบคือตอนนี้มีบริษัทจีนสนใจมาลงทุนขยายธุรกิจในประเทศไทยมากมาย แล้วหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยจะสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เป็นมิตร ที่เสมอภาค ที่ยุติธรรมให้กับบริษัทต่างชาติ "
นอกจากนี้ ไม่กี่วันข้างหน้าก็จะเป็นวันหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีน ในช่วงดังกล่าวจะมีนักท่องเที่ยวจีนสนใจมาเที่ยวที่เมืองไทยมากมาย ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย ยังหวังว่าในเดือนนั้นประเทศไทยจะมีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและมีโครงสร้างการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่จะรอบรับนักท่องเที่ยวจีน
สื่อมวลชนไทยยังตั้งข้อสังเกตเรื่องการที่มีผู้กล่าว่าไทยถูกจีนครอบงำจนเป็นเหมือนมณฑลหนึ่งของจีน ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าวว่า การที่คนไทยกังวลประเทศไทยกำลังจะถูกประเทศจีนยึดครอง และประเทศไทยกำลังกลายเป็นมณฑลหนึ่งของจีน "จริงๆ แล้วถ้าพูดอย่างนี้ประชาชนชาวไทย 70 ล้านคน ประชาชนชาวจีน 1,400 ล้านคนก็จะไม่ยอม"
ไม่ว่าจะมองในทางประวัติศาสตร์ จีนกับไทยมีประวัติการไปมาหาสู่กันมานับพันปี หลังจากสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว เราก็มีความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ซึ่งเวลาที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าจีนกับไทยเคารพหลักการเคารพซึ่งกันและกัน เสมอภาคซึ่งกันและกัน และเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เวลาที่เราจะดำเนินความร่วมมืออะไร เราต้องยึดหลักการที่ว่าเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
นโยบายการต่างประเทศของจีนก็มีหลักการว่า จีนจะส่งเสริมการพัฒนาสันติภาพ จีนจะส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันที่เป็นมิตรทั้งสองฝ่าย และมีความเสมอภาคซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเล็ก ใหญ่ รวยหรือจนล้วนแต่เป็นเพื่อและหุ้นส่วนกันและกัน "และจีนก็ไม่เคยแสวงหาการยึดครองพื้นที่ และถือว่าประเทศต่างๆ ในอาเซียน และประเทศไทยด้วย เป็นเพื่อนของเรา"
ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าวว่า จริงๆ แล้วการพัฒนาของประเทศจีนนั้น ยังนำมาซึ่งโอกาสให้พื้นที่ต่างๆ ของโลกด้วย ดังนั้น ก็พร้อมที่จะแบ่งปันโอกาสการพัฒนาให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ดังนั้น เราจึงกล่าวได้ว่า จีนกับไทยเราเป็นเพื่อนบ้านที่ดี หุ้นส่วนที่ดี และมิตรดีที่"
"ดังนั้นมีบางคนที่พยายามพูดและเสนอข่าวในเชิงลบว่า ไทยอยู่ใต้อิทธิพลของจีน ถือเป็นข่าวที่ไม่ถูกต้องและเป็นข่าวที่ปลุกปั้นขึ้นมาเพื่อสร้างความไม่เข้าใจให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ อาจจะมีบางคน บางกลุ่ม บางอิทธิพลที่ไม่อยากจะเห็นความสัมพันธ์จีนไทยพัฒนา ดังนั้นจึงขอฝากให้สื่อต่างๆ รายงานข่าวในเชิงบวก และถ่ายทอดข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและรายงานเรื่องราวๆ ต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นมิตรของสองประเทศด้วย เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสองประเทศมีความเข้าใจต่อไป" ฯพณฯ จางเจี้ยนเว่ย กล่าว
และย้ำว่า ตอนนี้ความสัมพันธ์จีนไทยกำลังอยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุด มีโอกาสที่จะเราทั้งสองประเทศจะพัฒนาอย่างมากมาย
รายงานโดย กรกิจ ดิษฐาน บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better