ผลอย่างหนึ่งของสงคราม คือปัญหาเศรษฐกิจ ไม่เพียงแค่งบประมาณมหาศาลที่ถูกใช้ไปในการสู้รบเท่านั้น แต่ยังมีผลจากการปิดกั้นการเข้าถึงของการค้าและการลงทุนด้วย และดูเหมือนว่ากัมพูชากำลังจะเผชิญกับ "นรกของสงครามเศรษฐกิจ" ในอีกไม่นาน
เมื่อเดือนที่แล้ว มีมุมมองของสื่อต่างประเทศ เช่น Sina ของจีนชี้ว่า "โดยนักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งอาจส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยว แต่กัมพูชากลับมีความเสี่ยงมากกว่าไทยอย่างมาก"
หนึ่งในนักวิเคราะห์ คือ ศรีปารนา บาเนอร์จี (Sreeparna Banerjee) นักวิจัยจากมูลนิธิวิจัยออบเซิร์ฟเวอร์กล่าวเสริมว่า แม้กัมพูชาจะมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจต่อการท่องเที่ยวในระดับต่ำ แต่การคิดว่าประเทศมีความสามารถในการรับมือความเสี่ยงได้ดีกว่านั้นถือเป็น "การคำนวณที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง" "กัมพูชาต่างจากไทยตรงที่ขาดเครื่องมือทางนโยบาย เช่น คณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยว เงินสำรองทางการคลังจำนวนมาก หรือหลักประกันสังคมที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับผลกระทบ"
อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้สื่อของกัมพูชาในภาษาจีน คือ 'กัมพูชาจีนรายวัน' (柬华日报) ล่าสุดยังรายงานในแง่ดี (ซึ่งเป็นพฤติกรรมของสื่อส่วนใหญ่ในกัมพูชาที่หลีกเลี่ยงการรายงานข่าวด้านลบของประเทศ)
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) เผยแพร่รายงานระบุว่า ณ ครึ่งแรกของปี 2568 ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของกัมพูชาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 24.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.4% จากสิ้นปี 2567
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับนี้สามารถรองรับความต้องการนำเข้าสินค้าและบริการได้ 7.5 เดือน ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รายงานนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมหภาคอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจกัมพูชา ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น
ธนาคารกลางกัมพูชาระบุว่าการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของเงินสำรองเงินตราต่างประเทศนั้นเกิดจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ ราคาทองคำที่สูงขึ้น รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในต่างประเทศ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้ออำนวย และการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินฝากและเงินสำรองตามกฎหมายของธนาคารและสถาบันการเงิน
ต่อมาสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม เกี่ยวกับการประกาศการอนุมัติการลงทุนในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2568 "ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของกัมพูชายังคงแสดงให้เห็นถึงความน่าดึงดูดใจอย่างมาก โดยมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้งในจำนวนและมูลค่ารวมของโครงการลงทุนใหม่"
ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้ สภาพัฒนากัมพูชา (CDC) ได้อนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 440 โครงการ เพิ่มขึ้น 206 โครงการจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราการเติบโต 88% มูลค่าการลงทุนรวมในโครงการเหล่านี้สูงถึง 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 85% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคาดว่าจะสร้างงานประมาณ 310,000 ตำแหน่งในกัมพูชา
จีนยังคงรักษาความเป็นผู้นำที่สำคัญในแง่ของประเทศแหล่งการลงทุน ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2568 การลงทุนของจีนในกัมพูชาคิดเป็น 53.66% ของการลงทุนทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ การลงทุนจากกัมพูชาตามมาติดๆ ที่คิดเป็น 29.97% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในประเทศ แหล่งการลงทุนที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ สิงคโปร์ (7.10%) เวียดนาม (5.95%) หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (0.90%) สหราชอาณาจักร (0.49%) หมู่เกาะเคย์แมน (0.44%) เบอร์มิวดา (0.38%) สหรัฐอเมริกา (0.32%) และซามัว (0.30%)
ต่อมา 'กัมพูชาจีนรายวัน' อ้างข้อมูลของสำนักงานนโยบายทั่วไป กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา ที่ได้เผยแพร่รายงาน “สถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค พ.ศ. 2568-2569” รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง แต่คาดว่าเศรษฐกิจกัมพูชาจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2568 และ 2569 โดยได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของภาคส่วนสำคัญภายในประเทศ
รายงานคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของ GDP ของกัมพูชาจะอยู่ที่ 5.2% และ 5.0% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับเป้าหมายในกรอบการคลังระยะกลาง (2569-2571) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้
รายงานระบุว่าภาคส่วนสำคัญ 6 ภาคส่วน ได้แก่ เกษตรกรรม การผลิตเครื่องนุ่งห่ม การผลิตที่ไม่ใช่เครื่องนุ่งห่ม การท่องเที่ยว การค้าส่งและค้าปลีก การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในอีกสองปีข้างหน้า
การคาดการณ์ของรายงานนี้ค่อนข้างจะสวนทางกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกัมพูชา ซึ่งเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะว่างงานอย่างหนักเพราะแรงงานจากไทยแห่กลับประเทศนับล้านคนแต่ไม่มีงานรองรับเพียงพอ รวมถึงการปิดกั้นทางการค้ากับไทยทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเสี่ยงจะเชิญกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
สำนักงานนโยบายทั่วไป กระทรวงเศรษฐกิจละการคลังกัมพูชากลับเอ่ยถึงปัญหาเหล่านี้เพียงผิวเผิน โดยกล่าวแค่เพียงว่าการปิดพรมแดนทางบกระหว่างกัมพูชาและไทยอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่ต้องพึ่งพาตลาดไทย นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ที่ลดลงและจำนวนแรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดการท่องเที่ยวและตลาดแรงงานของกัมพูชา
นอกจากนี้ยังย้ำถึงการแก้ปัญหาว่า รัฐบาลกัมพูชากำลังดำเนินกลยุทธ์สองทาง โดยผ่านมาตรการที่ตรงเป้าหมาย รัฐบาลได้บรรเทาปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุตสาหกรรม สนับสนุนแรงงานที่กลับประเทศและชุมชนชายแดน และสำรวจตลาดทางเลือกสำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง รัฐบาลยังมุ่งเน้นการส่งเสริมการกระจายตลาดส่งออก เพิ่มมูลค่าของห่วงโซ่อุตสาหกรรม และส่งเสริมการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ประชาชนกัมพูชาโบกธงชาติขณะเข้าร่วมการเดินขบวนสันติภาพในกรุงพนมเปญ หลังเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดนกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 กัมพูชาและไทยตกลงหยุดยิงกันเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ภายหลังการปะทะกันนาน 5 วัน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 43 ราย (ภาพโดย TANG CHHIN Sothy / AFP)