บทวิเคราะห์
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอินเดีย-ปากีสถานไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น "ส่วนย่อย" ของความขัดแย้งยืดเยื้อของทั้งสองประเทศที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ "กัศมีร์" หรือแคชเมียร์ ซึ่งอินเดีย-ปากีสถานแล่งปกครองกันคนละส่วน (ไม่นับส่วนของจีนซึ่งอยู่นอกความขัดแย้งครั้งนี้) ปัญหาของการแบ่งแคชเมียร์กันปกครองก็คือ มีขบวนการในแคชเมียร์ส่วนของอินเดียที่ต้องการเอกราชและ/หรือไปรวมกับปากีสถาน เนื่องจากแคชเมียร์มีประชากรมุสลิมเป็นจำนวนมาก และสาเหตุที่อินเดีย-ปากีสถานต้องแยกออกเป็นสองประเทศหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ก็เพราะการแบ่งแยกทางศาสนา
ที่ผ่านมา อินเดียชี้ไปที่ปากีสถานว่าให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในแคชเมียร์ และหากไม่สนับสนุนกลุ่มภายในแคชเมียร์ที่อินเดียปกครอง ก็สนับสนุนกลุ่มที่อยู่ในแคชเมียร์ที่ปากีสถานปกครอง
ปากีสถานปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมก่อการร้ายในแคชเมียร์ โดยให้เหตุผลว่าปากีสถานให้การสนับสนุนทางการเมืองและกำลังใจแก่กลุ่มที่เรียกว่า "ผู้แบ่งแยกดินแดน" และกลุ่มญิฮาดเท่านั้น แต่กลุ่มก่อการร้ายชาวแคชเมียร์จำนวนมากยังคงตั้งสำนักงานใหญ่ในแคชเมียร์ที่ปากีสถานปกครอง ซึ่งรัฐบาลอินเดียอ้างเป็นหลักฐานเพิ่มเติม
จะเห็นได้จากการปะทะกันครั้งล่าสุดก็มีเหตุมาจากการแบ่งแยกและความพยายามแยกดินแดนในอินเดียนั่นเองคือเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2025 ซึ่งกลุ่มก่อการร้ายทำการโ๗มตีสถานที่ท่องเที่ยวนเมืองเมือพาหัลคัม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย ซึ่งถือเป็นการโจมตีพลเรือนชาวอินเดียที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่การโจมตีมุมไบในปี 2008
อินเดียกล่าวหาว่ากลุ่มก่อการร้ายที่ประจำการอยู่ในปากีสถานเป็นผู้ก่อเหตุโจมตี ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว อินเดียตอบโต้ด้วยการขับไล่ทูตปากีสถาน ระงับสนธิสัญญาแบ่งน้ำของสินธุวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ลงนามในปี 1960 (ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะต้นน้ำสินธุอยู่ในเขตอินเดีย ส่วนปากีสถานอยู่ปลายน้ำ) จากนั้นสั่งปิดพรมแดน และเพิกถอนวีซ่าสำหรับพลเมืองปากีสถาน ปากีสถานตอบโต้ด้วยการปิดน่านฟ้าและเส้นทางการค้าไปยังอินเดีย และขับไล่ทูตอินเดียออกไป
ที่สำคัญก็คือ ปากีสถานระงับข้อตกลงซิมลาปี 1972 ซึ่งข้อตกลงนี้วัตถุประสงค์เพื่อให้ทั้งสองประเทศ "ยุติข้อขัดแย้งและการเผชิญหน้าซึ่งเคยทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา" ซึ่งเท่ากับว่าต่อไปนี้จะไม่มีแนวทางสันติภาพระหว่างกันอีกแล้ว
โปรดทราบว่า สนธิสัญญานี้เกี่ยวข้องการดินแดนแคชเมียร์ด้วย เพราะผลของมันคือทั้งสองฝ่ายคืนพื้นที่ที่ยึดมาจากสงครามให้แก่กัน (สนธิสัญญาดังกล่าวได้คืนพื้นที่กว่า 13,000 ตารางกิโลเมตรที่กองทัพอินเดียยึดไปในปากีสถานระหว่างสงคราม และปากีสถานยังคืนพื้นที่ที่ถูกยึดไปในช่วงสงครามกลับคืนมาด้วย แม้ว่าอินเดียจะรักษาพื้นที่ยุทธศาสตร์ไว้บางส่วน ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 883 ตารางกิโลเมตร) นั่นหมายความว่าหากการปะทะกันขยายวงกว้างมากขึ้น มันอาจนำไปสู่สงครามแย่งชิงพื้นที่อีกครั้ง
นักวิเคราะห์สังเกตว่าการระงับข้อตกลงสำคัญเป็นการล้มเหลวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนของกรอบการทำงานหลังปี 1971 ที่ควบคุมความสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน ท่ามกลางฉากหลังที่กว้างขึ้นของความไม่มั่นคงในภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น
การวิเคราะห์นี้ตรงจุดอย่ายิ่ง เพราะหลังจากนั้นทั้งสองประเทศดำเนินการโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ในวันที่ 6 พฤษภาคม
สถานการณ์ล่าสุด
เมื่อคืนวันที่ 6 พฤษภาคม 2025 พลโท อาฮ์เม็ด ชารัฟ เชาธารี ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของปากีสถาน ยืนยันว่าอินเดียได้โจมตีด้วยขีปนาวุธหลายลูกในดินแดนของปากีสถาน โดยโจมตีสถานที่ 9 แห่ง รวมถึงเมืองโกตลี และเมืองมูซซาฟาราบาดในเขตแคชเมียร์ของปากีถสานและ เมืองอาฮ์เม็ดปูร์ฝั่งตะวันออก ในเขตบาฮาวัลปูร์ ของปัญจาบตามรายงานของทางการปากีสถาน การโจมตีด้วยขีปนาวุธทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย รวมถึงเด็ก 1 ราย และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 12 ราย แม้จะมีพลเรือนเสียชีวิต ปากีสถานให้คำมั่นว่าจะตอบโต้ "การโจมตีอย่างขี้ขลาด" ครั้งนี้
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2025 อินเดียระบุว่ากองกำลังของตนได้เริ่มปฏิบัติการซินดูร์เพื่อโจมตี "โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้าย" ในปากีสถาน กองกำลังอินเดียได้โจมตีสถานที่ 9 แห่งในปากีสถานด้วยขีปนาวุธ ตามรายงานระบุว่ามีการยิงถล่มอย่างหนักและเกิดการระเบิดเสียงดังในพื้นที่ชายแดนของแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของปากีสถาน อินเดียอ้างว่าการโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายที่ "ฐานก่อการร้าย" ซึ่งปฏิบัติการอยู่ในปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ไม่มีการยืนยันเป้าหมายเหล่านี้โดยอิสระ และปากีสถานปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าวอย่างหนักว่าไร้เหตุผลและเป็นการยั่วยุ
อย่างไรก็ตาม อินเดียก็พบกับความสูญเสียเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นของอินเดียเผยว่า ชาวอินเดียอย่างน้อย 8 รายเสียชีวิตและอีก 29 รายได้รับบาดเจ็บที่เมืองปุนช์ ในแคชเมียร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับพรมแดนโดยพฤตินัยกับปากีสถาน ขณะที่กองกำลังอินเดียและปากีสถานยิงปืนใหญ่ใส่กัน นอกจากนี้ เครื่องบินขับไล่ของอินเดีย 3 ลำตกในพื้นที่ของอินเดีย โดยเครื่องบิน 2 ลำตกในเขตชัมมูและแคชเมียร์ที่อินเดียปกครอง และอีกลำตกในรัฐปัญจาบของอินเดีย
ต่อมา กองทัพปากีสถานเผยว่าได้ยิงเครื่องบินของอินเดียตก 5 ลำ และโดรนรบ 1 ลำ โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดีย ได้แก่ เครื่องบิน Rafale 3 ลำ เครื่องบิน MiG 29 1 ลำ และเครื่องบิน Su 1 ลำ
สำนักข่าว Reuters รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ กล่าวว่าความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นเรื่องน่าเสียดาย โดยทรัมป์กล่าวกับนักข่าวว่า “น่าเสียดาย เราเพิ่งได้ยินเรื่องนี้ ผมเดาว่าผู้คนรู้ว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีต พวกเขาต่อสู้กันมาเป็นเวลานานแล้ว”
สำนักข่าว AFP รายงานว่า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียและปากีสถาน โดยเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหารือเพื่อยุติการเผชิญหน้าทางทหารที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยไบรอัน ฮิวจ์ส โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เขากำลังสนับสนุนให้อินเดียและปากีสถานเปิดช่องทางระหว่างผู้นำของตนอีกครั้งเพื่อคลี่คลายสถานการณ์และป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น" หลังจากอินเดียโจมตีทางอากาศบนดินแดนปากีสถาน
AFP ยังรายงานว่า อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความ "กังวลมาก" เกี่ยวกับการโจมตีทางทหารของอินเดียต่อปากีสถาน โฆษกของเขากล่าวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่อินเดียกล่าวว่าได้โจมตีพื้นที่ 9 แห่งในดินแดนปากีสถาน สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกกล่าวว่า"เลขาธิการสหประชาชาติมีความกังวลมากเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารของอินเดียข้ามเส้นควบคุมและพรมแดนระหว่างประเทศ เขาเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศใช้ความยับยั้งชั่งใจทางทหารอย่างสูงสุด โลกไม่สามารถปล่อยให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างอินเดียและปากีสถานได้"
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - w:user:Planemad / Wikipedia