นี่ไม่ใช่ส่วนต่อขยายจาก 'กรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศ' แต่เป็นความใคร่รู้ของผมเองเกี่ยวกับการจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อย "ที่ก่อปัญหา" ในประเทศจีน
หากติดตามเหตุลบ้านการเมืองในจีนย่อยๆ คงจะทราบว่าจีนมรชนกลุ่มน้อยมากถึง 56 กลุ่ม แต่มีไม่กี่กลุ่ม "ที่ก่อปัญหา" เช่นต้องการแบ่งแยกดินแดน และถึงขั้นลงมือก่อการร้ายด้วยการฆ่าคนบริสุทธิ์
ไม่กี่กลุ่มที่ว่านั้นอันที่จริงมีกลุ่มเดียวด้วยซ้ำ นั่นคือ พวกชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ที่ก่อเหตุก่อการร้ายถี่มากระหว่างปี 2013 - 2014
ไม่ใช่แค่สังหารผู้บริสุทธิ์ แต่ "ครูสอนศาสนา" ที่ต้องการสันติภาพระหว่างชนชาติ ก็ยังถูกสังหารไปด้วย คือ กรณีของ จูมา ตาฮีร์ (居玛·塔伊尔) อิหม่ามชาวอุยกูร์ที่ถูกวัยรุ่นหัวรุนแรงอุยกูร์ 3 คนแทงจนเสียชีวิตเมื่อวัน 30 กรกฏาคม 2014
ต่อมาอีกไม่กี่วัน คือ 28 กรกฎาคม 2014 กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธได้ก่อเหตุรุนแรงในอำเภอซาเชอ (莎车县) หรือยาร์กันต์ ทำการโจมตีสถานีตำรวจและโจมตีพลเรือนและทุบทำลายรถยนต์ แต่ตำรวจยิงผู้ก่อเหตุเสียชีวิต 59 ราย และจับกุมผู้ต้องสงสัย 215 ราย ยึดป้ายเรียกร้องให้ทำญิฮาด รวมถึงอาวุธต่างๆ เช่น มีดยาวและขวาน
ผมจะยกอีกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งคือน่าสะเทือนใจมาก คือ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2014 กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ถือมีด 5 คนได้โจมตีผู้โดยสารในสถานีรถไฟคุนหมิงในคุนหมิง มณฑลยูนนานโดยผู้ก่อเหตุได้ชักมีดยาวออกมาแทงและฟันผู้โดยสารแบบสุ่มๆ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 31 ราย และบาดเจ็บอีก 143 รายถือเป็นการแทงหมู่ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
คนตายบางคนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความคิดทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น เป็นแค่ชาวนาตาดำๆ หนึ่งในเหยื่อที่รอดมาได้ถึงกับรำพึงรำพันว่า "เราทุกคนเป็นแค่ชาวนาที่ซื่อสัตย์ ทำไมคนเหล่านี้ถึงโหดร้ายนัก"
ทราบข้อมูลมาว่าคนร้ายต้องการจะข้ามพรมแดนออกจากจีนโดยผิดกฎหมาย เพื่อที่จะมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามเส้นทางของ "พวกแบ่งแยกดินแดน" ในซินเจียงใช้กันเพื่อลักลอบมายังประเทศอาเซียนแล้วต่อไปยังตุรกีและตะวันออกกลาง จากนั้นก็ไปร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายที่เคลื่อนไหวในแถบนั้น
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้น และตอกย้ำว่า "การก่อการร้าย" ไม่เลือกผู้บริสุทธิ์หรือผู้เป็นศัตรู เพราะ "มันลงมือแบบสุ่ม"
หลังจากเหตุการณ์นี้ดูเหมือนรัฐบาลจีนจะหมดความอดทน และเป็นยุคสมัยที่ สีจิ้นผิง ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศพอดีๆ อะไรๆ ที่ไม่เข้าที่เข้าทางก็ถูกทำให้เข้าทางโดยเร็ว
ปัญหาเร่งด่วนในเวลานั้นคือการสะสางความพยายามแบ่งแยกดินแดนและการก่อการร้ายในซินเจียง
ปรากฏว่า "วิธีการแก้ปัญหาของจีน" ชะงัดเอามากๆ เพราะหลังจากปี 2017 จีนไม่เคยพบกับการก่อการร้ายอีกเลย
ในสายตาโลกตะวันตก "วิธีการแก้ปัญหาของจีน" ถูกมองว่าเป็น "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ซึ่งเราจะไม่อภิปรายกัน ณ ที่นี่ เพราะประการแรกคือเราเคยพูดถึงเรื่องนี้มาแล้วในบทความก่อนๆ โดยมีข้อสรุปว่า "เป็นคำอธิบายของชาติตะวันตก" เพื่อที่จะโจมตีจีน
เราจะมาพูดถึง "หนึ่งในวิธีการ" ที่จีนใช้ควบคุมความไม่สงบในพื้นที่ที่มีกลุ่มก่อการร้ายเคลื่อนไหวอยู่
สื่อตะวันตกนั้นมักจะกล่าวถึง "วิธีการใหญ่" ที่จีนใช้ นั่นคือ "การสอดส่องมหาชน" คือการจับตาความเคลื่อนไหวของประชาชนในวงกว้าง เพื่อติดตามกิจกรรมของกลุ่มต้องสงสัย ซึ่งในกรณีนี้แทรกซึมในสังคมช่วงนั้นมากพอสมควร
มีข้อมูลจากสื่อตะวันตกที่อ้างว่าจีนใช้วิธีการที่เรียกว่า "จิ้งหว่าง เว่ยซื่อ" (净网卫士)
"จิ้งหว่าง เว่ยซื่อ" เป็นซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่ง แปลแบบตรงๆ คือ การเคลียร์เน็ตเวิร์กและป้องกันเน็ตเวิร์ก จากอะไร? จากการสื่อสารกับเนื้อหาที่เป็นภัยต่อความมั่นคง
เรื่องนี้ไม่มีการเผยแพร่กันในจีน แต่สื่อตะวันตก (ซึ่งมักจะโจมตีเรื่องจีน "กดขี่" คนซินเจียง แต่ไม่พิจารณาเรื่องภัยก่อการร้าย) เป็นฝ่ายที่เปิดเผย
จากข้อมูลของสื่อตะวันตก "จิ้งหว่าง เว่ยซื่อ" ได้รับการติดตั้งโดยรัฐบาลท้องถิ่นในซินเจียงและสถานที่อื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเฝ้าระวัง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2017 รัฐบาลเขตเทียนซานของอุรุมชี ซินเจียง ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังประชาชนในพื้นที่ผ่าน WeChat เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาติดตั้ง "จิ้งหว่าง เว่ยซื่อ" ต่อมาประชาชนในเขตฮามี่ เขตอีหลี และพื้นที่ที่อื่นๆ ในซินเจียง ยังได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าวด้วย
เมื่อฝังซอฟต์แวร์ "จิ้งหว่าง เว่ยซื่อ" ในโทรศัพท์มือถือแล้ว มันจะทำการตรวจเนื้อหาที่รับและส่ง หากพบว่ามีเนื้อหาอันตรายที่เกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนหรือการก่อการร้าย รวมถึงเรื่อง "ซีเรีย" อันเป็นเป้าหมายที่พวกแบ่งแยกดินแดนในซินเจียงมักจะไปฝึกรบกันที่นั่น ซอฟต์แวร์จัทำการเตือนให้ผู้ใช้ลบเนือ้หาดังกล่าวเสีย
ซอฟต์แวร์อีกตัวหนึ่ง คือ Integrated Joint Operations Platform ซึ่งสื่อตะวันตกอ้างว่ามีการใช้กับคนในซินเจียง โดยระบบจะรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก เช่น ใบแจ้งยอดธนาคาร ประวัติอาชญากรรม และบันทึกการโทรศัพท์ ซึ่งตำรวจใช้คัดกรองบุคคลที่มีพฤติกรรม 36 ประเภทที่ทางการถือว่าไม่เหมาะสม ได้แก่ ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ ผู้ที่หลีกเลี่ยงการติดต่อกับเพื่อนบ้าน ที่เข้าร่วม "กิจกรรมทางศาสนา" ผู้ที่ไม่ใช้สมาร์ทโฟนอีกต่อไป และพฤติกรรม "ผิดปกติ" อื่นๆ จากนั้นทางการจะจับกุมและสอบสวนผู้ที่ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
เรื่องนี้จะจริงอย่างที่สื่อตะวันตกรายงานหรือไม่นั้น ขอยกให้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันต่อไปในภายภาคหน้า
และแม้ว่ารัฐบาลจีนจะปฏิเสธว่าไม่มีวิธีการแบบนั้น นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็นที่เราต้องการจะสื่อ
เพราะประเด็นที่เราต้องการจะสื่อก็คือ สำหรับประเทศที่รอไม่ได้เรื่องภัยจากการก่อการร้ายและการแบ่งแยกดินแดน วิธีการติดตามแบบครอบคลุมแบบนี้เป็นสิ่งที่ "หลีกเลี่ยงไม่ได้"
หากพิจารณาว่าการก่อการร้ายทักทำแบบ "สุ่มตัวผู้รับเคราะห์" และลงมือแบบ "กองโจร" การรับมือแบบปกติคือความล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ
เรื่อง "การติดตามความเป็นส่วนตัว" ยังเป็นเรื่องที่ "วิวาทะได้" (debatable) หากมีทัศนะแบบชาติตะวันตกก็ย่อมมองว่านี่คือ "การละเมิดสิทธิมนุษยชน"
แต่จีนก็มองว่า "ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน" คือสิทธิมนุษยชนเช่นกัน หากปล่อยให้ขบวนการที่เป็นภัยต่อประชาชนเคลื่อนไหวต่อไป หรือปล่อยให้ประชาชนได้รับข้อมูลอันตรายต่อไป ประชาชนเหล่านั้นก็จะเห็นดีเห็นงามกับการก่อการร้าย ถึงขั้นช่วยเหลือผู้ก่อการร้าย
ดังนั้น หนึ่งในวิธีการสำคัญในการหยุดยั้งวงจรนั้นก็คือ ทำลายการเข้าถึงเนื้อหา (หรือการสื่อสาร) กับการแบ่งแยกดินแดนและการก่อการร้าย
นี่คือ "ส่วนหนึ่ง" ของการปราบการแบ่งแยกดินแดนและการก่อการร้ายในซินเจียง ซึ่งประเทศอื่นๆ คงยากที่ทำตามเพราะต้องใช้ "ระบอบการปกครอง" ที่รวมศูนย์อย่างเข้มข้นแบบจีน
แน่นอนว่า ทุกวันนี้จีนถูกโจมตีอย่างหนักจากชาติตะวันตก "กรณีซินเจียง" แต่ปรากฏฎว่าซินเจียงกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยไปแล้ว เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของจีนที่ไม่พบการก่อการร้ายมาตั้งแต่ปี 2017
จีนนั้นให้ซินเจียงเป็นเขตปกครองตนเองของชาติพันธุ์ต่างๆ เช่นเดียวกับดินแดนหลายแห่งของชนชาติอื่นๆ ในประเทศ ซึ่งเท่ากับให้อำนาจในการ "ดูแลตัวเอง" ในระดับหนึ่งแล้ว ยังไม่นับเอกสิทธิ์หลายประการของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มากกว่าชาวฮั่นที่เป็นคนส่วนใหญ่เสียอีก เช่น ชนกลุ่มน้อยจะได้รับอนุญาตให้มีลูกกี่คนก็ได้ และได้รับคะแนนเพิ่มไปเปล่าๆ จำนวหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะนี่คือนโยบายการสร้างดุลระหว่างชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่
แบบนี้ถือเป็นการส่งเสริม "สิทธิมนุษยชน" หรือไม่? เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ชนกลุ่มน้อยที่ต้องอยู่อย่างหวาดผวาในเวลานี้แล้ว กลุ่มได้ว่าชนกลุ่มน้อยในจีนมีสิทธิมุนษยชนมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่แล้วก็ยังมีขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจีนที่ฆ่าฟันคนไม่เลือกหน้า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จีนจึงต้องมีการริดรอน "สิทธิมุนษยชนของคนบางกลุ่ม" เพื่อรักษา "สิทธิมุนษยชนของคนส่วนใหญ่เอาไว้"
แต่นี่เป็นเพียง "เครื่องมือ" บางส่วนเท่านั้น การใช้ซอฟต์แวร์ติดตามและทำลายเนื้อหาล้างสมองประชาชนให้เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเดียวของการปราบความรุนแรงที่เกิดในซินเจียงและจากซินเจียงไปพื้นที่อื่นๆ
ปัญหาพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ทำให้การก่อการร้ายมีผู้คนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันอยู่เรื่อยๆ ก็คือ คนที่ไปยุ่งเกี่ยวเหล่านั้น "ไม่มีอะไรทำ"
เรื่องนี้ฟังแล้วคล้ายกับบางพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ยากจน และไร้อนาคตทางเศรษฐกิจ ทำให้มีผู้คนที่ "ไม่มีอะไรทำ" ไปร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายหรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้ง่ายๆ
ในซินเจียงก็เช่นกัน จากการายงานของ หม่าผิ่นเยี่ยน (马品彥) นักวิจัยต่อต้านการก่อการร้ายของสถาบันสังคมศาสตร์ซินเจียง กล่าวว่า เยาวชนที่ว่างงานและได้รับการศึกษาไม่เพียงพอจากเขตชนบททางตอนใต้ของซินเจียง มีความเสี่ยงที่จะถูกกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาเกณฑ์คนเข้าทำงาน
ดังนั้น หนึ่งใน "ปฏิบัติการ" ใหญ่ของจีนในการกวาดล้างขบวนการอันตรายเหล่านั้น ก็คือ การสร้างงานในพื้นที่และการพัฒนาการเกษตรแบบพลิกฟ้าคว่ำดินจนทำให้ในขณะนี้ซินเจียงที่เป็นทะเลทรายปลูกพืชได้หลากหลาย กระทั่งเลี้ยงปลาแซลมอนก็ยังได้
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2020 รัฐบาลประชาชนของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ออกประกาศว่าอำเภอซาเชอ อันเป็นที่เกิดเหตุก่อการร้ายเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้น และอำเภออื่นๆ อีก 10 แห่งหลุดพ้นจากความเป็นเขตยากจน และถูกถอดออกจากรายชื่อเขตยากจนแล้ว จนถึงขณะนี้ เขตยากจนทั้ง 32 แห่งในซินเจียงได้รับการปลดพ้นจากความยากจนแล้ว และปัญหาความยากจนขั้นรุนแรงได้รับการแก้ไขมาโดยตลอด
เออร์เคน ตุนยาซี (艾尔肯·吐尼亚孜) สมาชิกคณะกรรมการถาวรของคณะกรรมการพรรคเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์และรองประธานรัฐบาลประชาชน กล่าวว่าซินเจียงเคยเป็นพื้นที่ยากจนที่ติดต่อกันและหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการยึดมั่นในกลยุทธ์พื้นฐานในการบรรเทาความยากจนอย่างมีเป้าหมายและการลดความยากจนอย่างมีเป้าหมาย โดยเน้นที่ "ไม่ต้องกังวลสองเรื่องและรับประกันสามเรื่อง" (两不愁三保障) คือ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า การศึกษาภาคบังคับ การดูแลทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน และความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย
การมีเป้าหมายในการกำจัดความยากจนนี่เองที่เป็นพลังขับเลื่อนสำคัญในการปราบการก่อการร้าย
ผลก็คือ ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นและมีอนาคต และ "มีอะไรทำ" ไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องอันตรายอื่นๆ และทำให้จีนไม่มีการก่อการร้ายอีกจนถึงทุกวันนี้
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2023 แสดงให้เห็นผู้คนเดินผ่านป้ายโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองในอำเภอซาเชอ หรือยาร์กันต์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน (ภาพโดย Pedro PARDO / AFP)