ตามข้อมูลของกลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย (SOHR) มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 750 รายจากการสังหารหมู่ 29 ครั้งระหว่างวันที่ 6–8 มีนาคม 2025 โดยที่มีชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่ไม่ใช่อลาวีจำนวนไม่ทราบจำนวน รวมทั้งคริสเตียน ก็ตกเป็นเป้าหมายและเสียชีวิตในการสังหารหมู่ครั้งนี้ด้วย มีรายงานว่าการสังหารหมู่เป็นส่วนหนึ่งของถูกการปราบปรามกลุ่มกบฏผู้จงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี บาชาร์ อัลอัสซาด ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเดิม
การสังหารหมู่เริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2025 ในเขตปกครองลาตาเกีย ซึ่งตามรายงานของศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย (SOHR) กองกำลังความมั่นคงซีเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มอำาจใหม่ที่ยึดอำนาจเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้สังหารพลเรือนหลายร้อยคนในช่วงเวลาสองวัน รวมถึงชาวอลาวี 52 คนในเมืองอัลมุคตาริยาและอัลชีร์ในชนบทลาตาเกียเพียงแห่งเดียว
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีความตึงเครียดและการปะทะด้วยอาวุธระหว่างกองกำลังรัฐบาลเปลี่ยนผ่านของซีเรียและกลุ่มติดอาวุธที่จงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด แม้เจ้าหน้าที่รัฐบาลชุดใหม่จะรับรองว่าชนกลุ่มน้อยจะปลอดภัยในซีเรียชุดใหม่ แต่ชุมชนอลาวีก็ตกเป็นเหยื่อการสังหารหมู่หลายครั้งตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024
ชุมชนอลาวีมักตั้งถิ่นฐานอยู่ชายฝั่งซีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตปกครองลาตาเกีย เป็นศูนย์กลางของชุมชนอลาวีในซีเรียมาโดยตลอด ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาส่วนน้อยที่ถือเป็นนิกายย่อยของศาสนาอิสลามชีอะห์ ตระกูลอัสซาดซึ่งปกครองซีเรียมานานหลายทศวรรษก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มศาสนาส่วนน้อยนี้ หลังจากการล่มสลายของอัสซาดในเดือนธันวาคม 2024 และมีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวภายใต้การนำของอะเหม็ด อัลชารา ผู้ปกครองฮายัต ตาห์รีร์ อัลชามในขณะนั้น เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังของรัฐบาลกับกลุ่มที่ยึดมั่นในความจงรักภักดีต่ออัสซาด โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีประชากรอลาวีจำนวนมาก
รายงานระบุว่ารัฐบาลชุดใหม่ได้ปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐด้วยการปลดเจ้าหน้าที่จำนวนมาก ซึ่งหลายคนมาจากชุมชนอลาวี ตามคำบอกเล่าของนักเคลื่อนไหวอลาวี สมาชิกในชุมชนของพวกเขาประสบกับความรุนแรงและการข่มเหงรังแกตั้งแต่การล่มสลายของอัสซาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทของจังหวัดโฮมส์และลาตาเกีย แม้ว่าอัลชาราจะมุ่งมั่นต่อการปกครองแบบมีส่วนร่วมต่อสาธารณะ แต่ก็ไม่มีรายงานการประชุมอย่างเป็นทางการกับตัวแทนระดับสูงของอลาวี ซึ่งต่างจากการประชุมที่มีการบันทึกไว้ว่ารัฐบาลใหม่หารือกับผู้นำจากกลุ่มชนกลุ่มน้อยอื่นๆ รวมทั้งชาวเคิร์ด คริสเตียน และดรูซ
ความรุนแรงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากในวันที่ 6 มีนาคม 2025 เมื่อเกิดการเผชิญหน้าด้วยอาวุธอย่างรุนแรงในเขตปกครองลาตาเกียระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐบาลใหม่ซีเรียและกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี การสู้รบแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลายแห่งในภูมิภาคที่ชาวอลาวีอาศัยอยู่เป็นหลัก ความรุนแรงเริ่มต้นขึ้นในบริเวณจาเบลห์ในช่วงแรก แต่ได้ขยายไปยังสถานที่อื่นๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 7 มีนาคม เจ้าหน้าที่ซีเรียได้ใช้เคอร์ฟิวในเมืองทาร์ทัสและลาตาเกียตามแนวชายฝั่งซีเรีย ประชาชนในเมืองการ์ดาฮารายงานว่ามีการยิงปืนกลหนักในเขตที่อยู่อาศัย ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกจากบ้านได้เนื่องจากการสู้รบที่รุนแรง
อะเหม็ด อัลชารา ผู้นำคนใหม่แห่งซีเรียกล่าวโจมตีกลุ่มกองกำลังอลาวีที่สนับสนุนอัสซาด โดยระบุว่า "พวกคุณโจมตีชาวซีเรียทั้งหมดและทำผิดพลาดอย่างไม่อาจให้อภัยได้ การตอบโต้ได้เกิดขึ้นแล้ว และพวกคุณไม่อาจต้านทานมันได้" เขาเรียกร้องให้กลุ่มอลาวียอมมอบอาวุธ "ก่อนที่จะสายเกินไป" อย่างไรก็ตาม อัลชาราเรียกร้องให้กลุ่มนักรบที่สนับสนุนรัฐบาล "หลีกเลี่ยงการละเมิดใดๆ" หลังจากมีรายงานการสังหารหมู่พลเรือนอลาวีในลาตาเกีย
ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาตะวันออกกลาง มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา โจชัว แลนดิส รายงานเมื่อวันที่ 8 มีนาคมว่า มีผู้เสียชีวิตและสังหารหมู่มากที่สุดในเขตจาเบลห์ โดยมีผู้เสียชีวิต 133 ราย (คิดเป็นร้อยละ 38 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด) จากการสังหารหมู่ 10 ครั้ง ฮัฟฟาห์และบานิยาสต่างมีรายงานการสังหารหมู่ 4 ครั้ง
ที่ปรึกษาของอดีตประธานสภาอลาวี มูฮัมหมัด นาสเซอร์ และแหล่งข่าวในซีเรียในพื้นที่กล่าวหาว่ามีพลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 1,700 ราย
ในขณะที่ตามข้อมูลของกลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย (SOHR) มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 750 รายจากการสังหารหมู่ 29 ครั้งระหว่างวันที่ 6–8 มีนาคม 2025
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - กองกำลังความมั่นคงชุดใหม่ของซีเรียเดินทางออกจากเมืองอิดลิบทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปเสริมกำลังบริเวณชายฝั่งเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 กองกำลังความมั่นคงของซีเรียได้ส่งกำลังไปประจำการอย่างหนาแน่นในพื้นที่ใจกลางของชาวอลาวีบนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของประเทศเมื่อวันที่ 8 มีนาคม หลังจากผู้สังเกตการณ์สงครามรายงานว่ากองกำลังของรัฐบาลและพันธมิตรสังหารพลเรือนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาไปเกือบ 750 รายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา (ภาพโดย Omar HAJ KADOUR / AFP)