จับตาสถานการณ์ในซีเรีย Hotspot แห่งใหม่ของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

จับตาสถานการณ์ในซีเรีย Hotspot แห่งใหม่ของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ข้อมูลเบื้องหลัง
สงครามกลางเมืองซีเรียเป็นความขัดแย้งหลายฝ่ายที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในซีเรียซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่างๆ ทั้งที่รัฐสนับสนุนและไม่ใช่รัฐ เริ่มต้นในเดือนมีนาคม 2011 จากความไม่พอใจของประชาชนต่อการปกครองของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่และการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วซีเรีย หลังจากที่หน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลปราบปราม ก็เริ่มเกิดมีกลุ่มกบฏติดอาวุธต่างๆ เช่น กองทัพซีเรียเสรีก่อตัวขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อกบฏในซีเรีย ภายในกลางปี ​​2012 การก่อกบฏได้ทวีความรุนแรงกลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ โดยฝ่ายต่อต้านได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก เช่น สหรัฐฯ 

อย่างไรก็ตาม กองกำลังติดอาวุธของสาธารณรัฐอาหรับซีเรียที่นำโดยประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย อิหร่าน ฮิซบุลเลาะห์ และกองกำลังติดอาวุธพันธมิตรอื่นๆ ต่อมามีปฏิบัติการทางทหารที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2019–2020 ในซีเรียตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งมีรหัสว่า "รุ่งอรุณแห่งอิดลิบ 2" ของพันธมิตรดังกล่าวทำการโจมตีฝ่ายต่อต้านซีเรียและนักรบพันธมิตรของกองทัพแห่งชาติซีเรีย การโจมตีครั้งนั้นนำไปสู่ "การหยุดยิงอิดลิบ" เมื่อเดือนมีนาคม 2020 จนถึงช่วงปลายปี 2024 การสู้รบในแนวหน้าเริ่มคลี่คลายลงเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงมีการปะทะกันเป็นระยะๆ 

การสู้รบอย่างหนักกลับมาปะทุอีกครั้งด้วยการรุกครั้งใหญ่ของกบฏทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งนำโดยกลุ่มกบฏตาห์รีร์ อัลชามในเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งระหว่างนั้น กองกำลังกบฏได้เข้ายึดเมืองอาเลปโป ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับฝ่ายรัฐบาลสาธารณรัฐอาหรับซีเรียของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดอย่างมาก และทำให้โลกต้องหันมาจับตาสถานการณ์ในซีเรียอีกครั้ง 

เกิดอะไรขึ้นกับซีเรียในเวลานี้?
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2024 กลุ่มฝ่ายค้านซีเรียที่นำโดยกลุ่มตาห์รีร์ อัลชามได้เปิดฉากโจมตีกองกำลังฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลในซีเรียตะวันตกเฉียงเหนือ ถือเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ครั้งแรกของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในความขัดแย้งนับตั้งแต่การหยุดยิงในอิดลิบเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ปฏิบัติการดังกล่าวส่งผลให้กองกำลังฝ่ายค้านสามารถยึดหมู่บ้านหลายสิบแห่งได้อย่างรวดเร็ว และแนวป้องกันของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็อ่อนแอลงอย่างมาก ส่งผลให้ผู้คนหลบหนีไปยังเมืองต่างๆ ในซีเรีย เช่น ฮามา

ต่อมาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024 กลุ่มกบฏสามารถยึดเมืองต่างๆ ได้หลายแห่ง แต่วันรุ่งขึ้น กองทัพซีเรียสามารถเปิดฉากโจมตีตอบโต้และยึดดินแดนคืนมาบางส่วนในจังหวัดฮามาได้และหยุดยั้งการรุกคืบของกลุ่มกบฏได้ นอกจากนี้ยังมีการโจมตีทางอากาศของรัสเซียที่กำหนดเป้าหมายกลุ่มกบฏในพื้นที่ที่กลุ่มกบฏเข้ายึดครองอำนาจได้เมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงพื้นที่ชนบทของอิดลิบ และฮามา

ตามรายงานของสำนักข่าว SANA ของทางการซีเรีย กองทัพซีเรียสามารถผลักดันกลุ่มกบฏในชนบททางตอนเหนือของจังหวัดฮามาได้สำเร็จเมื่อคืนนี้ นอกจากนี้ ทั้ง SANA และกลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียยังอ้างว่ากองทัพซีเรียสามารถผลักดันกลุ่มกบฏให้ถอยกลับได้สำเร็จ นอกจากนี้ กลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียยังอ้างว่ากองกำลังเสริมได้สร้าง "แนวป้องกันที่แข็งแกร่ง" ขึ้นทางตอนเหนือของฮามา ในขณะเดียวกัน กลุ่มกบฏก็ประกาศจะเดินหน้าไปจนถึงกรุงดามัสกัส

เมื่อถึงวันที่ 1 ธันวาคม เมืองอเลปโป ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองของซีเรีย ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ความขัดแย้งในประเทศเริ่มต้นขึ้น โดยกลุ่มสังเกตการณ์สงครามได้เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์

กลุ่มฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชามและกลุ่มกบฏพันธมิตร "ควบคุมเมืองอเลปโปได้ ยกเว้นพื้นที่ที่กองกำลังชาวเคิร์ดควบคุมอยู่ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นในปี 2012 ที่เมืองอเลปโปหลุดพ้นจากการควบคุมของกองกำลังของรัฐบาลซีเรีย" รามี อับเดล ราห์มาน หัวหน้ากลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย ซึ่งตั้งอยู่ในอังกฤษ กล่าวกับ AFP

แต่แล้วเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ก็มีรายงานว่าการโจมตีทางอากาศของรัสเซียและซีเรียในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียเมื่อวันจันทร์ ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 11 ราย โดย 5 รายเป็นเด็ก กลุ่มสังเกตการณ์สงครามซีเรียระบุ

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม รัฐบาลรัสเซียกล่าวว่า 'ยังคงสนับสนุน' ประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรีย

ปฏิกิริยาจากพันธมิตรร่วมรบฝ่ายต่างๆ
เมือวันที่ 1 ธันวาคม สหรัฐฯ แถลงว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย สูญเสียการควบคุมเมืองอาเลปโป เนื่องจากเขายังคงพึ่งพารัสเซียและอิหร่าน

การที่ซีเรีย "พึ่งพารัสเซียและอิหร่าน" รวมถึงการปฏิเสธที่จะเดินหน้ากระบวนการสันติภาพปี 2015  ตามที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำหนดไว้ "ได้ก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น" ฌอน ซาเวตต์ โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวในแถลงการณ์

เขาเสริมว่า "ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับปฏิบัติการรุกครั้งนี้ ซึ่งนำโดยกลุ่มฮายัต ตาฮีร์ อัล-ชาม (HTS) ซึ่งถูกระบุเป็นองค์กรก่อการร้าย"

นอกจากแสวงหาความช่วยเหลือจากรัสเซียแล้ว ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดยังพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่านด้วย โดยอับบาส อาราฆชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เดินทางถึงกรุงดามัสกัสเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคมเพื่อพบกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกของผู้นำซีเรียนับตั้งแต่กลุ่มกบฏบุกโจมตีเมืองอาเลปโป

ต่อมา แถลงการณ์จากทำเนียบประธานาธิบดีระบุภายหลังการพบปะกับทูตจากเตหะราน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญเผยว่า ประธานาธิบดีอัสซาดเน้นย้ำถึง "ความสำคัญของการสนับสนุนจากพันธมิตรและมิตรสหายในการเผชิญหน้ากับการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ" 

ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม สหรัฐและพันธมิตรอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษ เรียกร้องให้มีการ "ลดความตึงเครียด" ในซีเรีย และเรียกร้องในแถลงการณ์ร่วมเพื่อปกป้องพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน

"ความตึงเครียดในปัจจุบันเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่นำโดยซีเรีย ตามอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 2254" แถลงการณ์ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุ โดยอ้างอิงถึงมติของสหประชาชาติในปี 2015 ที่รับรองกระบวนการสันติภาพในซีเรีย

แต่วันเดียวกัน อัสซาดกล่าวระหว่างโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดีอิหร่านว่า การโจมตีที่นำโดยกลุ่มต่อต้านในภาคเหนือของประเทศเป็นความพยายามที่จะ "ร่างแผนที่ใหม่" ของภูมิภาคนี้ 

"การก่อการร้ายที่ทวีความรุนแรงขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายอันกว้างไกลในการแบ่งแยกภูมิภาคและแบ่งแยกประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ และร่างแผนที่ใหม่ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก" ประธานาธิบดีอัสซาดกล่าว

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - นักรบต่อต้านรัฐบาลมาถึงทางหลวงใกล้เมืองอาซาซทางตอนเหนือของซีเรียเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2024 สหรัฐฯ และพันธมิตรอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษ เรียกร้องให้มีการ "ลดความตึงเครียด" ในซีเรีย และเรียกร้องในแถลงการณ์ร่วมเพื่อปกป้องพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน (ภาพโดย Rami al SAYED / AFP)

TAGS: #ซีเรีย