สรุปบทวิเคราะห์ ยุทธศาสตร์สกัด'การปฏิวัติสี'ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

สรุปบทวิเคราะห์ ยุทธศาสตร์สกัด'การปฏิวัติสี'ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

เปเป เอสโกบาร์ (Pepe Escobar) เป็นนักข่าวและนักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ชาวบราซิล เชี่ยวชาญในการจับตาการครอบงำของมหาอำนาจตะวันตกในเอเชีย เขามีชื่อเสียงจากแนวคิดเรื่อง "Pipelineistan" ซึ่งหมายถึงเครือข่ายท่อส่งน้ำมันและก๊าซในภูมิภาคทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ โดยเฉพาะเอเชียกลาง เขาเสนอว่าการกระทำของชาติตะวันตกในพื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยความปรารถนาที่จะลดการพึ่งพาพลังงานของรัสเซียและโอเปก และนำไปสู่การเข้าครอบงำภูมิภาคเหล่านี้ 

ในเดือนสิงหาคม เอสโกบาร์ เขียนบทความให้กับ Sputnik สื่อของรัสเซียเรื่อง The Empire Strikes Back: Color Revolutions in South and Southeast Asia (จักรวรรดิโต้กลับ: การปฏิวัติสีในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ซึ่งจับตาและอธิบายการชิงอิทธิพลในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างสหรัฯ และจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ เขาชี้ว่า พยายามกระตุ้นให้เกิด 'การปฏิวัติสี' Color Revolutions หรือการลุกฮือของประชาชนเพื่อต่อต้านการปกครองของผู้นำเดิมและแทนที่ด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมสไตล์ตะวันตก

ในบทความนี้ เอสโกบาร์ ได้ชี้ให้เห็นว่า 

"เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นเป้าหมายของความพยายามปฏิวัติสีหลายครั้ง และเป็นจุดสนใจของการสนับสนุนแนวร่วมที่ 5 (หรือฝ่ายที่หนุนให้แปรพักตร์ไปเข้าอีกฝ่าย) เหมือนกับกรณีของฟิลิปปินส์" ในกรณีของฟิลิปปินส์นั้นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าได้เลือกที่อยู่ข้างเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งจากกรณีการปะทะกันของจีนและฟิลิปินส์ในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ผู้เชี่ยวชาญทางการทหารของจีนคาดการร์ว่าเป็น "ความพยายามเล็กๆ น้อยๆ ที่จะชี้นำให้โลกได้รู้ว่าฟิลิปปินส์เป็นเหยื่อ (การรุกรานของจีน)" ในทะเลจีนใต้ และ เอสโกบาร์ ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนวิธีการอธิบายสถานการณ์แบบนั้นนั้นอย่างเต็มที่

สิ่งที่ต้องจับตา คือสถานการณ์ในบังกลาเทศ เอสโกบาร์ชี้ว่า "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบังกลาเทศเชื่อมโยงโดยตรงกับความไม่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และความหลงใหลของอเมริกาที่มีต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (ชื่อที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและใช้โดยทุกคนในทวีปนี้คือเอเชีย-แปซิฟิก) และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือการปฏิวัติสีที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันกับสองประเทศ BRICS คืออินเดียและจีน" เขาชี้ว่าสหรัฐฯ เคลื่อนไหวสนับสนุนอยู่เบื้องหลังพรรคฝ่ายค้านชาตินิยมบังคลาเทศ (BNP) เงินทุนและการขนส่งเพื่อสนับสนุนผู้ประท้วงนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตย เช่น ภาควิชารัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธากา เต็มไปด้วยอาจารย์ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กร Confronting Misinformation in Bangladesh (CMIB) ซึ่งมีเบื้องหลังคลุมเครือ และยังมีอาจารย์ 2 คนจากกลุ่มนี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการ โดยได้รับเงินช่วยเหลือจาก NED จำนวนมาก

ในส่วนของไทยกำลังเอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยมอีกครั้ง โดยทักษิณเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทยพยายามต้านเกิดใหม่ของพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็น "พรรคใายหัวก้าวหน้าในทางทฤษฎี" ที่ถูกยุบไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคม เอสโกบาร์ ชี้ว่า การต้านทานพรรคฝ่ายก้าวหน้าเอาไว้อย่างน้อยก็ในขณะนี้ อาจขัดขวางความพยายามในการปฏิวัติสีได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ กลุ่มการเมืองที่อนุรักษ์นิยมและฝ่ายนิยมสถาบันกษัตริย์เรียกว่า “พวกเสรีนิยม” (liberals) อาจสามารถควบคุมทางการเมืองไทยได้ในที่สุด ซึ่งหากเกิดขึ้นนจริงก็จะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง และมุ่งทำลายความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างจีนและไทย

แม้ฟิลิปปินส์จะเป็นพวกของสหรัฐฯ เต็มตัวไปแล้ว และบังกลาเทศจะเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลที่มีสายสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้น แต่ เอสโกบาร์ ชี้ว่า "อาเซียนต้องการ BRICS" เช่น ประเทศไทยมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกลุ่ม BRICS โดยเมื่อเดือนที่แล้ว วงการการทูตได้ยืนยันแล้วว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังผลักดันให้ไทยเข้าร่วมกับ BRICS ส่วนมาเลเซียได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมกลุ่ม BRICS แล้ว และอินโดนีเซียและเวียดนามก็อยู่ในรายชื่อรอเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเช่นกัน ด้วยแนวโน้มนี้ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่าวงประเทศของรัสเซียจึงบอกกับ หวางอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ว่ารัสเซียและจีนจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อ "ต่อต้านการแทรกแซงจากกองกำลังภายนอกภูมิภาคนี้ในกิจการของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

Photo by AFP
 

TAGS: #การปฏิวัติสี