ฌัคส์ แดร์ริดา (Jacques Derrida) เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซึ่งเสียชีวิตในปี 2004 และเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลต่อแนวคิดปรัชญาในยุคสมัยของเราอย่างมาก โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง Deconstruction (ซึ่งแปลคร่าวๆ ได้ว่า "การรื้อสร้าง") หมายถึง การแยกแยะองค์ประกอบของเนื้อหาและความหมายของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะในเชิงวัฒนธรรม
แม้ว่าเขาจะเป็นนักปรัชญาที่เน้นค้นคว้าหาความจริงจากการแยกแยะ รื้อ และประกอบความหมายของสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้าใจสาระที่แท้จริงของวัฒนธราม แต่เขาก็สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์และการเมืองด้วย และเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Spectres de Marx (ผีของมาร์ก) ที่เขียนถึงความสำคัญของแนวคิดเรื่องสังคมนิยมไปจนถึงคอมมิวนิสต์ของ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ว่ายังมีความสำคัญต่อโลกของเราอยู่ แม้ว่าในเวลาที่เขียนหนังสือเล่มนี้ (ปี 1993) กลุ่มประเทศสังคมนิยมจะล่มสลายลงพร้อมกับสงครามเย็นไปแล้วเมื่อไม่กี่ปีก็ตาม แต่ปัญหาที่ลัทธิมาร์กซ์จะแก้ไข เช่น ความเหลื่อมล้ำ จะยิ่งรุนแรงขึ้น
หลังการสิ้นสุดของระบอบสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ มีนักคิดบางคนเชื่อว่า 'ระเบียบโลกใหม่' (Nouvel ordre mondial) ได้เกิดขึ้นมาแล้ว และหลังจากนี้มันจะเป็นระเบียบที่ถาวร นั่นคือ ระบอบทุนนิยมเสรี หรือระบอบเสรีนิยมที่อิงกับระบอบทุนนิยม แต่ แดร์ริดา ไม่คิดแบบนั้น เขาเตือนว่าจะเกิด 'โรคห่า' (plaies) หรือ หายนะที่จะแพร่ระบาดไปทั่วที่จะมาพร้อมกับ 'ระเบียบโลกใหม่' ซึ่งหายนะเหล่านี้สะท้อนถึงความเอารัดเอาเปรียบของทุนนิยม ความเหลื่อมล้ำของสังคม และระบอบการปกครองที่จะบีบให้ผู้คนเผชิญหน้ากัน
แดร์ริดา ได้กล่าวถึง 'สิบโรคห่า '(dix plaies) ไว้ดังนี้
1. จะเกิดการว่างงาน (Unemployment) หรือสิ่งที่แดร์ริดาเชื่อว่าควรเรียกอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบัน บางคนเชื่อว่าเป็น การใช้แรงงานทำงานไม่เหมาะหรือต่ำกว่าทักษะที่พวกเขามี (Underemployment) แดร์ริดาทำนายว่าภายใต้ระเบียบโลกใหม่ (ที่เรากำลังดำรงอยู่ในทุกวันนี้) จะมีการเปิดเสรีมากขึ้นจนมีการยกเลิกกฎระเบียบของตลาด และเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ ซึ่งทำให้ผู้จะเป็นคนงานหลายล้านคนขาดคุณสมบัติที่จะทำงานต่างๆ เราจะเห็นแนวโน้มนี้ได้ชัดขึ้นจากการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อทำงานแทนกำลังคน แดร์ริดาชี้ว่าปัญหานี้จะ "เรียกร้องให้มีการเมืองแบบอื่น" หรือบีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
2. จะเกิดการเนรเทศผู้อพยพ จะมีการสร้าง 'กำแพง' (หมายถึงมาตรการกีดกันผู้อพยพ) เพื่อสกัดกั้นผู้อพยพ ซึ่งเราเห็นปรากฏการณ์นี้แล้วจากการสร้างกำแพงจริงๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ และกำลังเห็นกระแสต่อต้านผู้อพยพในยุโรปและการผงาดขึ้นมาของการเมืองฝ่ายขวา ที่มีนโยบายสร้าง 'กำแพงในเชิงนโยบาย' เพื่อปกป้องยุโรปจากการถูกรุกรานโดยผู้อพยพที่ไม่ใช่ชาวยุโรปด้วยกัน แดร์ริดา ชี้ว่าเมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น แนวคิดใหม่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ของพลเมือง/ชาติ และเรื่องพรมแดน จะไม่จำกัดแค่ในแง่ภูมิศาสตร์อีกต่อไป
3. จะเกิดสงครามเศรษฐกิจ (Economic war) แดร์ริดาเตือนว่า สงครามนี้จะเป็นความขัดแย้งไร้ความปรานีตามที่ และเป็นการแย่งชิงกันระหว่างประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจ "เดียวกัน" ซึ่งเราเห็นตัวอย่างนี้ได้ชัดเจนแม้แต่ในกลุ่มอาเซียน ก็มีการใช้มาตรการกีดกันการค้าและทำสงครามราคาด้วยวิธีการต่างๆ และยังจะเกิดสงครามระหว่างกลุ่มหลัก ๆ เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน (ซึ่งในเวลานั้นแดร์ริดายังมองไม่เห็นถึงแนวโน้มที่จีนจะยิ่งใหญ่) เขาชี้ว่าสงครามที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะ “การใช้กฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน” เช่น การที่ประเทศหนึ่งใช้มาตรฐานของตนเป็นมาตรฐานของโลก และพยากรณ์ว่า “สงครามครั้งนี้จะควบคุมทุกสิ่ง…”
4. จะเกิดความขัดแย้งของตลาดเสรี เป็นความขัดแย้งระหว่างลัทธิกีดกันทางการค้าและการค้าเสรี ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วในรูปแบบของสงครามการค้า (ซึ่งเป็นสงครามเศรษฐกิจรูปแบบหนึ่ง) ระหว่างสหรัฐฯ ซึ่งมักจะเป็นผู้ที่ส่งเสริมระบอบการค้าเสรี แต่เมื่อพบว่าการค้าของตนเสียเปรียบจีน ก็กล่าวว่าจีนใช้วิธีที่ไม่เป็นธณรมนการส่งเสริมการค้าของตน และทำให้สหรัฐฯ ต้องนำมาตรการกีดกันขั้นรุนแรงมาใช้ตอบโต้จีน ทำให้เกิดความไม่ไว้ใจอย่างรุนแรงต่อระบอบตลาดเสรี เพราะถึงที่สุดแล้ว หากประเทศมหาอำนาจรู้สึกว่าตนเสียเปรียบ ก็จะใช้มาตรการที่ตรงกันข้ามกับความเป็นเสรีของตลาด
5. จะเกิดการพอกพูนขึ้นมาของหนี้ต่างประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือหนี้ต่างประเทศของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่าเป็นล้านล้านดอลลาร์ ในเวลาเดียวกัน ก็เกิดปรากฏการณ์ที่แดร์ริดาไม่ได้เอ่ยถึง คือ 'กับดักหนี้' ซึ่งประเทศตะวันตกนำมาใช้กล่าวหาจีนว่าปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศเล็กๆ เพื่อที่จะให้เป็นหนี้ที่ยากจะชำระนี้ แล้วจรีนจะใช้โอกาสนั้นแทรกแซงทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ต่างประเทศรูปแบบใดก็ตาม ปัญหานี้จะกระทบต่อคนยากจนมากมายในประเทศกำลังพัฒนา
6. อุตสาหกรรมอาวุธและการค้าอาวุธจะรุ่งเรือง เนื่องจากขาดการควบคุมตลาดมืดที่ค้าอาวุธ อย่างไรก็ตาม นี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะในทศวรรษที่ 90 หลังการสิ้นสุดของสงครามเย็น ทำให้อาวุธในประเทศฟหลังม่านเหล็กไหลทะลักเข้าสู่ตลาดมืด แต่ในทศวรรษของเรา ปัญหานี้เกิดจากการแข่งขันกันสะสมอาวุธของประเทศมหาอำนาจ และสงครามกลางเมืองและสงครามระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ทศวรรษที่ 2010 จนถึงปัจจุบัน
7. จะเกิดการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งรัฐหรือตลาดอาวุธไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับการสิ้นสุดของสงครามเย็นเช่นเดียวกับข้อ 6 แต่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง จนกระทั่งในยุคของเราปัญหานี้เริ่มมีเค้าชัดเจนมากขึ้นหลังการเกิดขึ้นของสงครามยูเครน และมีการข่มขู่ของรัสเซียที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์บ่อยครั้ง
8. สงครามระหว่างชาติพันธุ์จะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ เช่น "มายาคติ" เรื่องความเป็นรัฐชาติ ปัญหานี้เคยรุนแรงอยู่พักหนึ่งในช่วงหลังสงครามเย็น แต่ในทศวรรษของเรา แนวคิดเรื่องชาตินิยมใหม่เริ่มเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้การปะทะระหว่างเชื้อชาติต่างๆ ทั้งในประเทศเดียวกันและระหว่างประเทศ
9. จะเกิด 'รัฐทุนนิยมผี' (capitalist phantom-States) หรือ องค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศ ซึ่งองค์กรอาชญากรเข้ามาแทรกซึมโครงสร้างทางสังคม รัฐ และเศรษฐกิจ จนถึงจุดที่ไม่สามารถระบุแยกกันได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น แก๊งอาชญากรค้ายา หรือ Drug cartels ในเม็กซิโก ที่มีอิทธิพลตามรัฐต่างๆ และรัฐบาลกลางยังต้องยอมตามอำนาจของกลุ่มอาชญากร
10. กฎหมายระหว่างประเทศและสถาบันระหว่างประเทศต่างๆ ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยประเทศมหาอำนาจบางกลุ่ม เพื่อกดขี่ประเทศที่เล็กกว่า ทำให้มาตรฐานโลกหมดความน่าเชื่อถือ
ทั้งหมดนี้ถูกเรียว่า 'ระเบียบโลก (หรือโลกที่ไร้ระเบียบ) ใหม่' (nouvel ordre (désordre) mondial) แม้ว่าจะทำนายเอาไว้ในทศวรรษที่ 1990 แต่มันกลับกำลังเกิดขึ้นจริงๆ ในทศวรรษนี้
รายงานโดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - เด็กๆ ชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่นถือซุป ซึ่งแจกจ่ายโดยอาสาสมัครในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2024 (ภาพโดย SAID KHATIB / AFP)