ทำไมแย่งกันไปฮานอย? วิเคราะห์ผู้นำประเทศมหาอำนาจไปเวียดนามรัวๆ

ทำไมแย่งกันไปฮานอย? วิเคราะห์ผู้นำประเทศมหาอำนาจไปเวียดนามรัวๆ

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เป็นผู้นำประเทศมหาอำนาจคนล่าสุดที่เดินทางไปเยือนเวียดนาม โดย ปูตินกล่าวกับ โต เลิม ประธานาธิบดีของเวียดนามที่เพิ่งรับตำแหน่งว่า “การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมกับเวียดนามถือเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งของเราเสมอ” และกล่าวว่า “เรารู้สึกขอบคุณเพื่อนชาวเวียดนามสำหรับจุดยืนที่สมดุลต่อวิกฤตการณ์ยูเครน และความปรารถนาของพวกเขาที่จะอำนวยความสะดวกในการแสวงหาแนวทางปฏิบัติเพื่อจัดการกับวิกฤตอย่างสันติ ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับจิตวิญญาณและธรรมชาติของความสัมพันธ์ของเรา”

เวียดนามกำลังเนื้อหอมในหมู่ผู้นำโลก
วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2566  ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินทางไปกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามโดยพบกับเประธานาธิบดี เหงียนฟู้จ่อง โดย ไบเดน กล่าวกับผู้นำเวียดนามว่า “เวียดนามและสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนที่สำคัญในช่วงเวลาที่ผมขอกล่าวว่าเป็นช่วงเวลาที่วิกฤตมาก” ไบเดนยังได้ทำข้อตกลงหลายฉบับกับเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับพันธมิตรหรือการลงทุนในเวียดนาม ข้อตกลงเหล่านี้หลายฉบับเกี่ยวข้องกับภาคส่วนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ เช่น AI, คลาวด์คอมพิวติ้ง, เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานใหม่ ภาคเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของ "สงครามชิป" ที่สหรัฐฯ กำลังกรำศึกกับจีนอยู่ในเวลานี้

วันที่ 12-13 ธันวาคม พ.ศ. 2566 หรืออีก 3 เดือนต่อมา ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีนเดินทางเยือนเวียดนาม โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนระบุว่าเป็นการเยือนที่ "ประสบความสำเร็จอย่างมาก" และการเยือนเวียดนามครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สามของ สีจิ้นผิง ในฐานะหัวหน้าพรรคและรัฐจีน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและมิตรภาพที่พิเศษระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ 36 ฉบับ ครอบคลุมด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ความร่วมมือด้านการพัฒนา เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาสีเขียว การขนส่ง การตรวจสอบและกักกัน การป้องกันประเทศและการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนความร่วมมือทางทะเล

วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เดินทางเยือนเวียดนาม เพียงหนึ่งวันหลังจากจาก ปูติน ไปเยือนเกาหลีเหนือและการลงนามข้อตกลงการป้องกันร่วมกันกับเกาหลีเหนือ ที่เวียดนาม รัสเซียและเวียดนามได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์และลงนามในเอกสารมากกว่า 10 ฉบับ รวมถึงบันทึกกำหนดการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในเวียดนาม รายละเอียดของเอกสารที่ลงนามยังไม่ชัดเจน แต่ผู้นำเวียดนามกล่าวว่าทั้งสองประเทศจะเพิ่มความร่วมมือในด้านกลาโหมและความมั่นคงด้วย ที่น่าสังเกตคือ เมื่อวันที่ 16-17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 ปูติน เพิ่งเดินทางไปเยือนจีนและพบกับ สีจิ้นผิง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านยุทธศาสตร์

เวียดนามสำคัญอย่างไรกับผู้นำโลกเหล่านี้ 
1. สำหรับรัสเซีย เวียดนามมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัสเซียมาตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต โดยเวียดนามได้รับความช่วยเหลือด้านการเมืองและด้านการพัฒนาจากโซเวียต ในฐานะที่เป็นประเทศในค่ายสังคมนิยมเหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงสงครามเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธและเทคนิคอย่างมากจากโซเวียต และชัยชนะส่วนหนึ่งของเวียดนามเหนือจนรวมประเทศได้ ก็เป็นเพราะการสนับสนุนจากโซเวียต ดังนั้นบุญคุณของโซเวียต (หรือรัสเซีย) จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเวียดนามมาโดยตลอด 

2. ปัจจุบัน เวียดนามยังพึ่งพารัสเซียอย่งมากในด้านความมั่นคง ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) เวียดนามนำเข้าอาวุธมูลค่า 7.6 พันล้านดอลลาร์จากรัสเซียระหว่างปี 2538 ถึง 2566 คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของการจัดซื้ออาวุธจากต่างประเทศทั้งหมดของเวียดนาม จึงไม่น่าแปลกใจที่ เวียดนามจะงดออกเสียงในสหประชาชาติเพื่อประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

3. สำหรับจีน แม้ว่าในยุคแรกของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ จีน โซเวียต และเวียดนามจะถือเป็นกลุ่มอุดมการณ์เดียวกัน อีกทั้งจีนยังคอยช่วยเหวียดนามเหนือในการทำสงครามด้วย แต่ในเวลาต่อมา จีนแตกหักกับโซเวียต เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องแนวทางการเมือง เมื่อจีนแตกกับโซเวียตแล้ว เวียดนามยังเป็นพันธมิตรกับโซเวียตอย่างเหนียวแแน่น จึงกลายเป็นหอกข้างแคร่ต่อจีน และนำไปสู่การปะทะกันระหว่างสองประเทศ จนกลายเป็นสงครามในที่สุดหลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม  ดังนั้น จีนกับเวียดนามจึงมีเรื่องบาดหมางฝังลึกกันอยู่

4. จีนยังถือเป็น "ศัตรูทางธรรมชาติ" กับเวียดนาม เพราะในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคเวียดนามสร้างประเทศ ก็มีแต่เรื่องของการปลดแอกจากอำนาจการปคกรองขจากจีน หรือจีนรุกรานเวียดนาม นอกจากนี้ ในยุคสมัยใหม่ ทั้งสองประเทศยังขัดแย้งกันในเรื่องการอ้างสิทธิ์เหนือหมู่เกาะและน่านน้ำในทะเลจีนใต้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับจีนไม่มีความเสถียร อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองปีที่ผ่านมา จีนมีท่าทีอ่อนลงกับเวียดนาม โดยมีการผ่อนปรนทางการค้าอย่างมาก และยังมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเวียดนามเป็นจำนวนมาก รวมถึงการที่ทุนจีนย้ายฐานไปในเวียดนาม เพื่อหลีกเลี่ยงการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ 

5. สำหรับสหรัฐฯ เคยเป็นคู่กรณีกับเวียดนามมาก่อนในช่วงสงครามเวียดนาม แต่ในช่วงทศวรรษหลังๆ ทั้งสองประเทศพยายามที่จะมองข้ามความขัดย้งนั้นแล้วเริ่มต้นกันใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ สหรัฐฯ ต้องการใช้เวียดนามเป็นพันธมิตรในการคานอำนาจกับจีน เพราะทราบว่าเวียดนามมีความขัดแย้งกับจีน และเวียดนามก็ต้องการสหรัฐฯ มาช่วยต้านทานอิทธิพลของจีน นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังต้องการความร่วมมือจากเวียดนาม เพื่อไม่ให้เป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของจีน ซึ่งย้ายฐานการผลิตจากประเทศตัวเองมายังเวียดนาม เพื่อหนีการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ หรือสงครามการค้า รวมถึงการที่จีนใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตในภาคที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์

เวียดนามได้อะไรบ้างจากผู้นำโลกเหล่านี้
ดูเหมือนว่าเจตนาของทั้งสามประเทศต้องการจะดึงตัวเวียดนามมาเป็นพวกของตัวเอง สหรัฐฯ ต้องการใช้เวียดนามเป็นหมากในการบ่อนทำลายจีน ส่วนจีนก็ต้องการควบคุมไม่ให้เวียดนามกลายเป็นหอกข้างแคร่ต่อตน ในขณะที่รัสเซีย ต้องการเวียดนามมาเป็นพวกเพราะรัสเซียถูกโดดเดี่ยวจากชาติตะวันตก และชาติตะวันตกจะโดดเดี่ยวประเทศใดๆ ก็ตามที่คบหาสมาคมกับ ปูติน วิธีการนี้ใช้ไม่ได้กับเวียดนาม ซึ่งเป็นมิตรแท้ของรัสเซียมาแต่ไหนแต่ไร และชาติตะวันตกยังต้องการเวียดนามเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านจีนด้วย ดังนั้น แม้ว่าสหรัฐฯ คัดค้านการเยือนเวียดนามของ ปูติน โดยอ้างว่าเวียดนามบ่อนทำลายความพยายามของนานาชาติในการโดดเดี่ยว ปูติน และรัสเซีย แต่สหรัฐฯ ก็ทำได้แค่ประณาม เพราะรู้ว่าเสียเวียดนามไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเวียดนามจะได้ "ของกำนัล" มากมายจากการทำตัวเป็นไผ่ลู่ลม ด้วยการต้อนรับทุกชาติ โดยเฉพาะการลงทุนด้านเทคโนโลยีระดับสูงและด้านความมั่นคง แต่ความสัมพันธ์แบบนี้กับชาติมหาอำนาจเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมาก ส่วนหนึ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ เวียดนามมีพรมแดนติดกับจีน หากมีเรื่องกระทบกระทั่งรุนแรง อาจนำไปสู่การปะทะรุนแรงได้อีกครั้ง และเวียดนามยังเป็นหนี้บุญคุณกับรัสเซียจนไม่อาจปฏิเสธได้ หนี้ติดพันหนี้อาจทำให้เวียดนามตกที่นั่งลำบากได้ หากรัสเซียร้องขออะไรที่ข้ามเส้นที่ชาติตะวันตกได้กำหนกดเอาไว้สำหรับเวียดนาม 

พูดง่ายๆ ก็คือ หากเวียดนามเดินเกมพลาดไปนิดเดียว เวียดนามจะพาตัวเองไปสู่ความขัดแย้งขั้นแรกของ "สงครามโลก" ได้ง่ายๆ 

รายงานโดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better 
Photo by Kristina Kormilitsyna / POOL / AFP
 

TAGS: #เวียดนาม