นักวิจัยในโครงการ Human Flourishing Program ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดตั้งข้อสังเกตว่า “ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่ปรากฏหลักฐาน” (UAP) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า UFO และสิ่งมีชีวิตนอกโลก ที่จริงแล้วอาจเป็นสิ่งมีชีวิตมนุษย์แต่มีอารยธรรมสูงที่อาจอาศัยอยู่ใต้ดิน บนดวงจันทร์ หรือแม้แต่อาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์โดยที่เราไม่รู้ตัว
นักวิจัยเสนอว่า มีการพบเห็นปรากฏการณ์ลึกลับในพื้นที่ที่เชื่อว่าเป็นที่ซ่อนของสิ่งมีชีวิตลึกลับเหล่านั้น จนกลายเป็นความเชื่อเรื่อง 'จานบิน' หรือ UFO ที่จริงแล้วปรากฏการร์นั้นเกิดจากการเข้า/ออกของสิ่งมีชีวิตในสังคมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปในโลก
ข้อสังเกตนี้อยู่ในงานวิจัยที่ชื่อ "สมมติฐานเกี่ยวกับมนุษย์ลึกลับนอกโลก: กรณีของการเปิดกว้างทางวิทยาศาสตร์ต่อคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่ปรากฏหลักฐานที่ถูกซุกซ่อนไว้ในโลก" (The cryptoterrestrial hypothesis: A case for scientific openness to a concealed earthly explanation for Unidentified Anomalous Phenomena)
งานวิจัยทางวิชาการนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Philosophy and Cosmology ในเดือนมิถุนายน 2024 จัดทำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบันมอนแทนาเทค แห่งมหาวิทยาลัยมอนแทนา ประเทศสหรัฐฯ
งานวิจัยตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ซ่อนตัวในโลก (Cryptoterrestrial) ซึ่งเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ภูมิปัญญาที่ชาญฉลาดแต่ไม่ใช่มนุษย์ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่บนโลก ซึ่งมักจะแยกไม่ออกจากมนุษย์ทางกายภาพ นักวิจัยส่วนหนึ่งเชื่อว่า Cryptoterrestrial พวกนี้อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า 'มนุษย์ต่างดาว' และเป็นผู้ขับเคลื่อนยานปริศนา หรือ UFO ที่ชาวโลกมักพบกันอยู่บ่อยๆ
สมมติฐานเกี่ยวกับ Cryptoterrestrial ของนักวิจัยกลุ่มดังกล่าวมีดังนี้
1. มี Cryptoterrestrial ที่มีลักษณะเป็นมนุษย์ เป็นเจ้าของอารยธรรมมนุษย์โบราณที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งส่วนใหญ่ถูกทำลายไปนานแล้ว (เช่น จากการทำลายโดยน้ำท่วมรุนแรงในยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีบันทึกตำนานในหลายๆ ศาสนาและลัทธิความเชื่อ) แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ในรูปแบบที่คล้ายมนุุษย์
2. คือพวกที่เป็นสิ่งมีชีวิตสายลิง เช่น มนุษย์หรือลิงใหญ่ (Hominid) หรืออาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นพวกไดโดนเสาร์หรือกิ้งก่าขนาดใหญ่ (theropod cryptoterrestrials) สร้างอารยธรรมที่ไม่ใช่มนุษย์ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งประกอบด้วยสัตว์บกบางชนิดที่วิวัฒนาการมาเพื่อดำรงชีวิตแบบอำพรางตัวหรือซุกซ่อนตัว (เช่น ใต้ดิน) อาจเป็นสัตว์จำพวกมนุษย์ หรืออีกทางเลือกหนึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับเราในระยะไกลกว่ามาก (เช่น ทายาทของไดโนเสาร์ที่เราไม่รู้จักและมีสติปัญญาที่ชาญฉลาด)
3. เป็นพวกอดีตมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ในอนาคตที่เดินทางมายังโลกแล้วอำพรางตัวเองจากมนุษย์ยุคปัจจุบัน คนพวกหลังสามารถเดินทางข้ามเวลาได้และกลับมายังยุคอดีตเพื่อศึกษามนุษย์ยุคของเรา
4. เป็นพวกสิ่งมีชีวิตที่อำพรางตัวโดยมีพลังพิเศษ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหมือนสิ่งมีชีสิตกลุ่มข้างต้นปลูกในบ้าน แต่เหมือนกัน 'เทวดาที่อาศัยอยู่บนโลก'มากกว่า และต่างจากสิ่งมีชีวิตลับๆ อื่นๆ ตรงที่กลุ่มนี้มีพลังวิเศษที่คล้ายพลังเหนือธรรมชาติ ไม่ใช่พลังด้านเทคโนโลยีที่เหนือกว่ามนุษย์ปกติ
สิ่งมีชีวิตลึกลับต่างๆ ยกเว้นพวกที่สี่ อาจเดินทางมายังโลกจากที่อื่น ณ จุดใดจุดหนึ่ง และต่อมาอาศัยอยู่ใต้ดินหรือใต้น้ำ หรือปกปิดตัวเองในบริเวณใกล้เคียง (เช่น บนดวงจันทร์)
สำหรับพวกที่อาศัยอยู่ในโลกเป็นเวลานาน และสร้างอารยธรรมโบราณก่อนที่มนุษย์ยุคปัจจุบันจะวิวัฒนาการจนชาญฉลาด มีตำนานโบราณหลงเหลืออยู่ในหมู่มนุษย์กลุ่มต่างๆ ที่เล่าถึงดินแดนลึกลับของกลุ่มคนลึกลับ แต่บางครั้งก็มีการ "เปิดเผย" ของคนยุคปัจุบัน เกี่ยวกับดินแดนอารยธรรมโบราณที่หายสาบสูญ แต่ที่จริงแล้วเป็นฐานที่มั่นลับของสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีอารยธรรมขั้นสูง
เช่น ภูเขาไฟที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่งคือภูเขาชัสตา (Mount Shasta) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วในปัจจุบันในเทือกเขาแคสเคด ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งชนเผ่าพื้นเมืองในภูมิภาคนี้ให้ความเคารพนับถือมายาวนาน แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ภูเขาชัสตาได้ดึงดูด "ผู้แสวงบุญทางจิตวิญญาณที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง" ให้เข้ามายังพื้นที่ดังกล่าว
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์หลังคือ มีการโยงการเปิดเผยเรื่องทวีปที่สาบสูญขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเชื่อมโยงกับตำนานของ 'เลมูเรีย' อันเป็นทวีปที่สูญหายไปแล้วและมีอารยธรรมสูง โดยบอกเป็นนัยว่าก่อนที่อารยธรรมในตำนานนี้จะสูญหายไปใต้มหาสมุทร ผู้รอดชีวิตบางคนได้เดินทางข้ามบกไปยังทวีปอเมริกาและยึดครองภูเขาชัสตาได้ในที่สุด และหลบภัยภายในภูเขา
สิ่งที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับภูเขาชัสตาก็คือ มักจะมีผู้สูญหายไปอย่างลึกลับปราศจากร่องรอยในพื้นที่นี้ และมีการบันทึกโดยเว็บไซต์ที่บันทึกการพบเห็นจานบิน www.ufosightingsusa.com ที่พบว่าระหว่างปี 1995 - 2020 มีการพบ 'ยานลึกลับ' ที่ภูเขาชัสตาถึง 25 ครั้ง
ภาพประกอบข่าว - ภาพชื่อ Terror Antiquus วาดโดย เลออน บักสต์ (Léon Bakst) จิตรกรชาวรัสเซีย บรรยายถึงการทำลายแอตแลนติส และอารยธรรมโบราณในกรีซ วาดเมื่อ พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) สีน้ำมันบนผ้าใบ 250 × 270 ซม. อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์รัสเซีย (Russian Museum)