สัปดาห์นี้เมืองเวนิส เมืองท่องเที่ยวสำคัญของอิตาลี จะเริ่มทำการเก็บเงินค่าเข้าเมืองจากนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการทำแบบนี้ โดบจุดมุ่งหมายเพื่อลดแรงกดดันต่อเมืองแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นโคลนตมกลางน้ำ แต่ต้องแบกรับน้ำหนักของการท่องเที่ยวจำนวนมาก
ในวันพฤหัสบดีที่ 25 เมาายนนี้ ซึ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ในอิตาลี นักท่องเที่ยวในช่วงกลางวันจะต้องซื้อตั๋วราคา 5 ยูโร (197 บาท) เป็นครั้งแรก โดยมีผู้ตรวจสอบดำเนินการตรวจสอบเฉพาะจุดสำคัญๆ ในพื้นที่ของเมืองเวนิสที่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
เวนิสเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก โดยมีนักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนในศูนย์กลางประวัติศาสตร์แห่งนี้ถึง 3.2 ล้านคนในปี พ.ศ. 2565 แต่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่เพียง 50,000 คนเท่านั้น
ในช่วงกลางวัน ผู้คนนับหมื่นหลั่งไหลเข้าไปตามถนนแคบๆ ของเมือง ซึ่งมักจะมาจากเรือสำราญที่จอดแวะที่เมือง เพื่อให้นักท่องเที่ยวลงมาชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น จัตุรัสเซนต์มาร์ก และสะพานเรียลโต
จุดมุ่งหมายของการขายตั๋วค่าเข้าเมือง ก็คือการโน้มน้าวให้นักเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับมาในช่วงที่เงียบกว่า เพื่อพยายามจำกัดจำนวนผู้คนในช่วงแออัดที่เลวร้ายที่สุด
ในขั้นต้น จะต้องซื้อตั๋วเฉพาะในวันที่วุ่นวายที่สุดที่กำหนดไว้ 29 วันตลอดปี พ.ศ. 2567 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม
แต่โครงการนี้กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกต้องต่อสู้กับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น แต่กลับเสี่ยงต่อชุมชนล้นหลาม และสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่เปราะบาง
ในสเปน ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากฝรั่งเศส ผู้คนหลายหมื่นคนออกมาประท้วงในหมู่เกาะคานารีเมื่อวันเสาร์ เพื่อเรียกร้องให้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนหมู่เกาะดังกล่าว
ลุยจิ บรูญญาโร นายกเทศมนตรีเมืองเวนิส กล่าวถึงแผนการของเมืองนี้ว่าเป็น "การทดลอง และเป็นครั้งแรกที่มีการทำที่แบบนี้ไม่เคยมีมาก่อนในโลก"
“เป้าหมายของเราคือการทำให้เวนิสน่าอยู่ยิ่งขึ้น” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อต้นเดือนนี้
คำเตือนของยูเนสโก
เวนิส มีพื้นที่ครอบคลุมเกาะเล็กเกาะน้อยมากกว่า 100 เกาะทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ถือเป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หน่วยงานด้านวัฒนธรรมของสหประชาชาติ คือองค์การยูเนสโก (UNESCO) ขึ้นทะเบียนเมืองและทะเลสาบแห่งนี้ให้เป็นมรดกโลกในปี 1987 โดยกล่าวว่าเป็น "ผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมที่ไม่ธรรมดา"
แต่ยูเนสโกขู่เมื่อปีที่แล้วว่าจะกำหนดให้เมืองเวนิสอยู่ในรายชื่อมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกอยู่ในอันตราย โดยอ้างถึงการท่องเที่ยวมวลชนและระดับน้ำที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เวนิสรอดพ้นจากความอัปยศจากการถูกขึ้นบัญชีได้หลังจากที่หน่วยงานท้องถิ่นยอมรับระบบจำหน่ายตั๋วใหม่
แนวคิดนี้ได้รับการถกเถียงกันมานานแล้ว แต่กลับถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง เนื่องจากกังวลว่าแนวคิดนี้จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของนักท่องเที่ยวอย่างมาก และกระทบต่อเสรีภาพในการเดินทาง
ในระหว่างการอภิปรายเรื่องแผนดังกล่าวเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว สมาชิกสภาฝ่ายค้านได้เสนอมาตรการดังกล่าวโดยถือเป็นการให้สัมปทานแก่ยูเนสโกอย่างเร่งรีบ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ
“ห้าสิบยูโรอาจทำอะไรบางอย่างได้” จันฟรังโก เบตติน ชาวอิตาเลียคนหนึ่งกล่าว
ในปีพ.ศ. 2564 เวนิสได้ออกคำสั่งห้ามเรือสำราญขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้โดยสารรายวันหลายพันคนลงจากเรืองมาเที่ยสในเมืองในแต่ละวัน และกำหนดให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังท่าเรืออุตสาหกรรมที่ห่างไกลจากเมืองโบราณเวนิสมากขึ้น
นอกจากนี้ยังได้มีริเริ่มการเก็ยภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวที่ค้างคืนด้วย
ระบบลื่นไหลไม่ต้องมีคิว
นายกเทศมนตรีเมืองเวนิสให้คำมั่นว่าระบบใหม่นี้จะถูกนำมาใช้อย่างเรียบง่ายด้วย "การควบคุมที่นุ่มนวลมาก" และ "โดยไม่ต้องต่อคิว" โดยปฏิเสธกระแสคาดเดาว่าเมืองเวนิสจะมีการติดตั้งแผงกั้นหรือประตูหมุนบนถนนเพ่อขวางนักท่องเที่ยว
แต่ผู้ควบคุมการตรวจตั๋วจะประจำการอยู่ในและรอบๆ ทางเข้าหลักของเมือง โดยเฉพาะสถานีรถไฟซานตา ลูเซีย เพื่อตรวจตราผู้มาเยือน
นักท่องเที่ยวที่ไม่มีตั๋วจะได้รับเชิญให้ซื้อตั๋วเมื่อเดินทางมาถึง โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ให้บริการในพื้นที่
แต่ถ้าหลีกเลี่ยง พวกเขาอาจเสี่ยงต่อการถูกปรับตั้งแต่ 50 ถึง 300 ยูโร
"ค่าธรรมเนียมการเข้าชมเมืองเวนิส" กำหนดเป้าหมายเฉพาะนักท่องเที่ยวรายวันที่เข้าเมืองเก่าระหว่างเวลา 8.30 น. ถึง 16.00 น. โดยนักท่องเที่ยวเข้าพักในโรงแรม ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 14 ปี และผู้พิการในกลุ่มที่ได้รับการยกเว้น
ในขณะนี้ ไม่มีการจำกัดจำนวนตั๋ว โดยดาวน์โหลดในรูปแบบรหัส QR จากเว็บไซต์ (https://cda.ve.it/en/) ซึ่งแจกในแต่ละวัน
Text by Agence France-Presse
Photo by GABRIEL BOUYS / AFP