ชี้มูล “พรชัย โค้วสุรัตน์” นายก อบจ. อุบลราชธานี ร่ำรวยผิดปกติ 

ชี้มูล “พรชัย โค้วสุรัตน์” นายก อบจ. อุบลราชธานี ร่ำรวยผิดปกติ 
ป.ป.ช.ภาค 3 ชงศาลสั่งยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน นายกอบจ.อุบลฯ “พรชัย โค้วสุรัตน์” รวยผิดปกติ 

ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จ.นครราชสีมา นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อม นายณัฐวุฒิ ขมประเสริฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 3 และผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด 8 จังหวัด ในเขตพื้นที่ ป.ป.ช.ภาค 3 ได้แก่ นครราชสีมา , ชัยภูมิ , บุรีรัมย์ , สุรินทร์ , ศรีสะเกษ , อุบลราชธานี , อำนาจเจริญ และยโสธร ได้ร่วมกันแถลงผลการดำเนินงาน ของสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 3 และสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด ในพื้นที่ภาค 3 ประจำปีงบประมาณ 2566

โดย นายนิวัติไชย กล่าวว่า ผลการดำเนินงาน ของสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 3 และสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัด ในพื้นที่ภาค 3 ประจำปีงบประมาณ 2566 ที่ผ่านมา แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ผลงานด้านการปราบปรามการทุจริต , ผลงานด้านตรวจสอบทรัพย์สิน และผลงานป้องปราบการทุจริต


โดยเฉพาะในส่วนของผลงาน ด้านการปราบปรามการทุจริตนั้น มีเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูล จำนวน 12 เรื่อง มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่

1.กรณี นายพรชัย โค้วสุรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.อุบลราชธานี ข้อกล่าวหา ร่ำรวยผิดปกติ โดยพฤติการณคือ นายพรชัย โค้วสุรัตน์ เมื่อเป็น นายก อบจ.อุบลราชธานี มีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมา โดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย

สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งอยู่ในชื่อของ บริษัท เป็นไทยแทรคเตอร์ จํากัด หรือ บริษัท อีสานรีช จํากัด และ น.ส.วิสิฏฐี ศรีธัญรัตน์ ราคาประเมินมูลค่า 93,473,640 บาท โดยมีที่ดินอยู่ในชื่อของ บริษัท เป็นไทแทรคเตอร์ จํากัด จํานวน 53 แปลง รวมเนื้อที่ 640 ไร่ 84 ตารางวา (ราคาประเมินมูลค่า 82,708,655 บาท อยู่ในชื่อของ น.ส.วิสิฏฐี จํานวน 22 แปลง รวมเนื้อที่ 122 ไร่ 2 งาน 85 ตารางวา (ราคาประเมิน มูลค่า 10,764,985 บาท)

คําวินิจฉัยคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายพรชัย โค้วสุรัตน์ เมื่อครั้งเป็น นายก อบจ.อุบลราชธานี ร่ำรวยผิดปกติ และส่งรายงานการไต่สวน ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคําร้องต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ขอให้ศาลสั่งทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน และส่งคําวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้มีอํานาจ สั่งให้พ้นจากตําแหน่ง และให้ถือว่า เป็นการทุจริตต่อหน้าที่


กรณีที่ 2 นายสมหมาย กอดแก้ว อดีตปลัด อบจ.อำนาจเจริญ ปฏิบัติหน้าที่ นายก อบจ.อำนาจเจริญ ข้อกล่าวหา กรณีอนุมัติจ้างโดยวิธีพิเศษโดยมิชอบ และเอื้อประโยชนให้แก่ผู้เข้าทําการเสนอราคารายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญา กับหน่วยงานของรัฐ พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 55 นางวีรภัทรา กาญจนสิงห์ หรือดวงจันทร์ เจ้าพนักงานพัสดุ อบจ.อํานาจเจริญ ได้ทําบันทึกขออนุมัติจ้างก่อสร้าง โครงการก่อสร้างและปรับปรุงผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต สายทาง อจ.ถ.10004 แยก ทล.212 (กม.67+400 - บ้านเค็งใหญ่ อ.หัวตะพาน

โดยวิธี Pavement In – Place Recycling งบประมาณ 9,844,000 บาท และโครงการก่อสร้างและปรับปรุงผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต โดยวิธี Pavement In – Place Recycling สายแยก ทล.2210 (กม.10+ 915 อําเภอหัวตะพาน -บ้านหนองนกหอ อ.ลืออํานาจ จ.อํานาจเจริญ งบประมาณ 9,523,000 บาท โดยวิธีพิเศษ ผ่านนางดวงอุมา โพธิวัฒน์ ผู้อํานวยการกองพัสดุและทรัพย์สิน และนายโกศล การุญญเวทย์ รองปลัด อบจ.อํานาจเจริญ ปฏิบัติราชแทนปลัด อบจ.อํานาจเจริญ

เสนอ นายสมหมาย กอดแก้ว ปลัด อบจ.อํานาจเจริญ เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ นายก อบจ.อํานาจเจริญ โดย นายสมหมาย กอดแก้ว ได้อนุมัติให้จัดจ้างโดยวิธีพิเศษ ทั้งสองโครงการ ทั้งที่ถนนดังกล่าวไม่ได้เสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้


นอกจากนี้ อบจ.อํานาจเจริญ มีระยะเวลา เพียงพอที่จะดําเนินการจัดจ้าง โดยวิธีประกวดราคาด้วยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ จึงยังไม่ถือเป็นเงื่อนไขในการใช้วิธีจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ

ซึ่งคําวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 98/2565 เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 65 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติว่า การกระทําของ นายสมหมาย กอดแก้ว กับพวก มูลความผิดทางอาญา ตามมาตรา 157 และ มาตรา 12 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล

อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามประกาศ คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัย และการดําเนินการทางวินัย ฉบับลงวันที่ 22 ส.ค. 44 ข้อ 3 วรรคสาม และข้อ 6 วรรคสอง


เรื่องที่ 3 กรณี พลเอก ลือพงศ์ โชติวิทยากาญจน์ หรือ พลตรี ลือ วิทยากาญจน์ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงาน พัฒนาภาค 5 กับพวก ในข้อกล่าวหา ทุจริตต่อหน้าที่และเข้ามีส่วนได้เสียในการดําเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำสํานักงานพัฒนาภาค 5 หน่วย บัญชาการกองทัพไทย จํานวน 4 โครงการ 8 ฎีกา เมื่อปีงบประมาณ 51 จํานวนเงิน 1,825,000 บาท และในการทําสัญญา ซื้ออุปกรณ์หรือเช่าเครื่องมือในโครงการขุดลอกคลอง เพื่อป้องกันอุทกภัยและภัยแล้งในเขตจังหวัดนครราชสีมา เมื่อปีงบประมาณ 52 จํานวน 115 ครั้ง จํานวนเงิน 7,795,785 บาท นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์มุ่งหมาย มิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคา อย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออํานวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารายใดรายหนึ่ง

โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำวินิจฉัยว่า พลเอก ลือพงศ์ โชติวิทยากาญจน์ หรือ พลตรี ลือ วิทยากาญจน์ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่ง ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาภาค 5 กับพวก ทุจริตต่อหน้าที่และเข้ามีส่วนได้เสียในการดําเนินโครงการ

นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์ มุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออํานวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญากับ สํานักงานพัฒนาภาค 5 หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใด มิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม มีมูลความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 152 และมาตรา 157ประกอบมาตรา 91 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

และมีมูลความผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควร จะดํารงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ.2507 และมติสภากลาโหม ครั้งที่ 3/07 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2507 ประกอบ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ.2521 มาตรา 15 ทั้งนี้การชี้มูลความผิดทางอาญา ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกก่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่า จะมีคําพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดต่อไป
 

TAGS: #ป.ป.ช. #ยึกทรัพย์ #พรชัย #โค้วสุรัตน์ #นายกอบจ.อุบลราชธานี