"สุวิทย์" เปิดซีรีส์ Systemic Wisdom (Ep.1) ชี้ "ความฉลาดยังไม่พอ ต้องมีปัญญาเชิงระบบ" 

อดีตรมว.อว. ชี้โลกยุคใหม่ซับซ้อนเกินสูตรสำเร็จ ต้องมองทั้งโครงสร้างและคุณค่า พร้อมใช้ "ปัญญาเชิงระบบ" ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างมีหลักการและทิศทาง เพื่อสร้างอนาคตยั่งยืน

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า  Systemic Wisdom: ปัญญาเชิงระบบ (Ep.1)

ทำไม “ความฉลาดในการคิด” ยังไม่พอ หากขาด “ปัญญาในการมองระบบ”
ในโลกที่ทุกปัญหาล้วนเชื่อมโยงกัน การคิดเพียงเฉพาะเรื่องหรือพึ่งสูตรสำเร็จไม่เพียงพอ — เราต้องมี “ปัญญาเชิงระบบ” (Systemic Wisdom) : ความสามารถที่จะเห็นทั้งโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล พร้อมตัดสินใจบนหลักการที่มั่นคง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และสังคม

ทำไมเราต้องการ Systemic Wisdom (WHY)
ทุกวันนี้ปัญหาสมัยใหม่ล้วนเชื่อมโยงกันทุกมิติ ความยากจนไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โครงสร้างอำนาจ และค่านิยมทางสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็ไม่ใช่แค่ฝุ่นหรือมลพิษ แต่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค นโยบายอุตสาหกรรม และวัฒนธรรมองค์กร
การแก้ไขปัญหาแบบจุดเดียวหรือมุมมองแคบมักสร้างผลลัพธ์ที่ซับซ้อน เช่น การอุดหนุนราคาน้ำมันระยะสั้นช่วยประชาชนทันที แต่ทำลายแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดระยะยาว

บทเรียน: ความรู้เฉพาะด้านไม่เพียงพอ เราต้องการคนที่มองระบบทั้งภาพและบริบท พร้อมตัดสินใจบนหลักการ
System Thinking vs Systemic Wisdom
System Thinking คือความสามารถในการมองเห็นระบบ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ และคาดการณ์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง เหมาะสำหรับวิเคราะห์ปัญหา ทำแผนผัง หรือสร้างโมเดลเชิงเหตุ–ผล เช่น การสร้าง causal loop diagram ของ supply chain เพื่อเห็นว่าการปรับราคาอาจกระทบการผลิตและการขนส่ง
แต่ Systemic Wisdom เกินกว่าแค่การคิดเชิงระบบ มันคือการใช้ปัญญาในการตัดสินใจเชิงคุณค่าและเชิงกลยุทธ์ เห็นทั้งโครงสร้างและจิตวิญญาณของระบบ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรยกความคิดสู่หลักการ ลดความคิดสู่รูปธรรม และเชื่อมระบบเข้ากับ Purpose และ Principle เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การออกแบบนโยบายเกษตรยั่งยืนที่พิจารณา ตลาด ขนส่ง เทคโนโลยีชุมชน และคุณค่าทางสังคม พร้อมทั้งสร้างผลลัพธ์ระยะยาว

สรุป: System Thinking คือการเห็นระบบ (See the System) ส่วน Systemic Wisdom คือการเห็นระบบและใช้ปัญญาเพื่อเปลี่ยนระบบอย่างมีหลักการและทิศทาง (See + Act Wisely on the System)
 Systemic Wisdom คืออะไร (WHAT)
Systemic Wisdom คือ ปัญญาในการเข้าใจระบบและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีหลักการและทิศทาง มองโลกทั้งในมิติ “เชิงโครงสร้าง × เชิงคุณค่า” พร้อมกัน ประกอบด้วย 3 มิติหลัก

1. ความลึก (Vertical Depth): นามธรรม ↔ รูปธรรม
 • ตัวอย่าง: นโยบาย Kaizen ของญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่ปรับกระบวนการผลิต แต่เป็นหลักการเรียนรู้ต่อเนื่อง (Continuous Learning) ที่ประยุกต์ได้ทั้งโรงงาน โรงพยาบาล และการศึกษา
 • บทเรียน: คนคิดเชิงระบบไม่ติดรูปแบบ แต่เห็น หลักการเบื้องหลัง เพื่อขยายผลต่อยอด

2. ความกว้าง (Horizontal Breadth): ภาพใหญ่ ↔ มองไกล
 • ตัวอย่าง: ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มองเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ไม่เพียง GDP แต่เป็นความสมดุลและภูมิคุ้มกันของประเทศ
 • บทเรียน: การมีภาพใหญ่โดยไม่ละรายละเอียด ทำให้พัฒนายั่งยืน ไม่หลงไปตามกระแสสั้น

3. เจตจำนง (Purpose): หลักการ ↔ ความมุ่งมั่น (Principle × Intent)
 • ตัวอย่าง: Apple ภายใต้ Steve Jobs ยึด Purpose ชัดเจนว่าเทคโนโลยีควรปลดปล่อยศักยภาพมนุษย์ ไม่ใช่แค่ขายอุปกรณ์ แต่คือ “การออกแบบเพื่อชีวิต” (Design for Life)
 • บทเรียน: หลักการที่มั่นคงช่วยให้การคิดเชิงระบบไม่หลงทาง แม้เผชิญแรงกดดันตลาดหรือเทคโนโลยี

สรุปสั้น: “นามธรรม–รูปธรรม ให้ความลึก | ภาพใหญ่–มองไกล ให้ความกว้าง | หลักการ–จุดมุ่งหมาย ให้ความมั่นคงและทิศทาง”
 สร้าง Systemic Wisdom ได้อย่างไร (HOW)

1. ฝึกยก–ลดระดับความคิด
 • ถาม “ทำไม” เพื่อยกความคิดสู่หลักการ
 • ถาม “อย่างไร” เพื่อกลับสู่การปฏิบัติ
 • ตัวอย่าง: พัฒนาโครงการชุมชน ถาม “ทำไมต้องมีศูนย์เรียนรู้” จะเปิดมุมใหม่ เช่น พื้นที่เรียนรู้ระหว่างรุ่น โดยไม่ต้องสร้างอาคารใหม่

2. มองทั้งระบบก่อนตัดสินใจ
 • ตัวอย่าง: การส่งเสริมเกษตรกรรายย่อย ต้องพิจารณา ตลาด ขนส่ง เทคโนโลยี และการรวมกลุ่ม จึงเกิดแนวทาง “เกษตรแปลงใหญ่” ครอบคลุม
3. ใช้หลักการเป็นเข็มทิศ ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
 • ตัวอย่าง: สตาร์ทอัพที่ยึด “สร้างคุณค่า ไม่ใช่แค่กำไร” อาจเริ่มจากแอปรีไซเคิล แล้วต่อยอดสู่ Circular Logistics โดยไม่หลงจุดหมาย
4. สร้างพื้นที่ร่วมคิด (Collective Learning Space)
 • ตัวอย่าง: Open Co-Creation Platform รวมภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อออกแบบอนาคตร่วมอย่างมีระบบ

สรุป: จากความคิดสู่ปัญญา
โลกไม่ขาด “คนคิดเร็ว” แต่ขาด คนคิดลึก คิดกว้าง และคิดด้วยหลักการ
Systemic Wisdom คือพลังของผู้ที่ รู้ว่าเมื่อใดควรมองไกล เมื่อใดควรมองลึก และเมื่อใดควรมองกลับเข้ามาข้างใน
เพราะสุดท้าย ความฉลาดทำให้คิดได้ถูก แต่ปัญญาทำให้คิดได้ถูกต้อง ถูกที่ ถูกทาง และถูกเวลา
 

TAGS: #สุวิทย์เมษินทรีย์ #SystemicWisdom #ปัญญาเชิงระบบ