บรรยากาศงานรำลึก 31 ปี พฤษภา 35 เตือนไม่ให้เกิดความสูญเสียอย่างในอดีตต้อง ทำตามครรลองประชาธิปไตย สร้างหลักประกันไม่ให้มีรัฐประหารอีก
วันที่ 17 พ.ค. 2566 คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดงานรำลึก 31 ปี เหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม โดยช่วงเช้าเป็นพิธีวังมาลาและกล่าวสดุดีวีรชน ก่อนมีพิธีการสงฆ์และการเสวนาในช่วงบ่าย
โดย ผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ประธานมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม วางพวงมาลาเป็นคนแรก พร้อมกล่าวว่า การจะไม่ให้เกิดความสูญเสียอย่างในอดีตเกิดขึ้นอีก คือการทำตามครรลองประชาธิปไตย ยึดหลักเสียงข้างมากและรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่พร้อมรับการตรวจสอบจากองค์กรอิสระและจากทุกภาคส่วนหรือการยึดหลักความโปร่งใส โดยในระบอบประชาธิปไตยที่แม้ว่าจะมีความเห็นต่างกันแต่จะสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ ซึ่งเมื่อ 9 ปีก่อนการเมืองรถถังหรือฝ่ายเผด็จการรัฐประหารชนะ แต่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประจักษ์ชัดแล้วว่าฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ดังนั้น เมื่อกระแสแห่งประชาธิปไตยได้กลับมาอีกครั้ง คนไทยจะต้องไม่ทำให้มันล้มเหลวอีก

นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ วางมาลา และกล่าวรำลึกวีรชนว่า การรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2534 และเกิดเหตุการณ์ประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตยและคัดค้านการรัฐประหาร จนกลายเป็นเหตุการณ์พฤษภา'35 ท่ามกลางข้อจำกัดของการการส่งข่าวสารในยุคนั้น กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ที่วีรชนพลีร่างเรียกร้องประชาธิปไตย จึงหวังให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงคุณูปการและบทเรียน ด้วยการสร้างสังคมประชาธิปไตยให้เข้มแข็งในทุกองค์กร หลังจากผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะเส้นทางของการพัฒนาประชาธิปไตยยังอีกยาวไกล

นายคุณากร ตันติจินดา นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ วางมาลา และกล่าวรำลึกวีรชนว่า เหตุการณ์พฤษภา'35 เป็นประจักษ์พยานว่ารัฐไทยพร้อมใช้ความรุนแรงกับประชาชนได้เสมอ ทหารยังมายุ่งกับการเมืองและไม่เคยเชื่อวิจารณญาณของประชาชน ไม่ยอมให้ประชาธิปไตยในประเทศนี้มีโอกาสเติบโตซึ่งหตุการณ์เมื่อ 31 ปีก่อนนั้นประชาชนเรียกร้องเรื่องง่ายๆคือให้นายกรัฐมนตรีลาออกและให้ทหารเลิกแทรกแซงกับการเมือง แต่สิ่งที่ได้รับในเวลานั้นกลับเป็นอาวุธและกำลังของเจ้าหน้าที่ที่เข้าทำร้ายประชาชน

ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกแต่เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนภาพฉายซ้ำในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ไม่เคยปราศจากการแทรกแซงของกองทัพ การรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจ เหมือนโรคร้ายที่มีอาการเจ็บปวดและจะเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ แต่หลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาล่าสุด มองว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สันติที่สุดตามระบอบประชาธิปไตยและหวังว่าจะไม่มีข้ออ้าง "เสียสัตย์เพื่อชาติ" เพื่อหวังก่ออาชญากรรมในนามของความดีงามใดๆทั้งสิ้น พร้อมยืนยันว่า อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศนี้เป็นของประชาชนและทหารต้องกลับกรมกอง วงจรอุบาทว์จะยุติลงเสียที
จากนั้นผู้แทนพรรคการเมืองต่างๆ วางมาลา และกล่าวรำลึกวีรชน โดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นคนแรกซึ่งได้วางมาลาและกล่าวรำลึกวีรชน ว่า สิ่งที่มุ่งหวังไม่ใช่เพียงรำลึกการสูญเสียไม่ว่าจะเป็นชีวิตทรัพย์สินหรือโอกาสของประเทศชาติและประชาชน แต่ในฐานะประชาชนที่ได้รับผลพวงทางด้านบวกและด้านลบในการต่อสู้ครั้งนั้น จะนำการสูญเสียมาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง

นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า การรำลึกถึงผู้สูญเสียวันนี้มีเหตุการณ์ที่ต้องจารึกมากมาย ขอให้ทุกฝ่ายนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง มั่นใจว่าพรรคการเมืองเป็นสถาบันที่จะเป็นแกนกลางในการสืบสานเจตนารมณ์วีรชนพฤษภา'35 เพื่อให้ประชาธิปไตยที่แท้จริงปรากฏเป็นจริง เพราะพรรคการเมืองคือกลไกที่สำคัญที่สุดที่จะรับมอบอำนาจจากประชาชนและการมอบอำนาจนั้น เพื่อความสุขของประเทศชาติและประชาชน
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย วางพวงมาลาพร้อมกล่าวถึงการได้ร่วมในเหตุการณ์ซึ่งตัวเองพึ่งได้เป็น ส.ส.สมัยแรกเช่นกันก่อนที่จะเข้าร่วมกับประชาชนในการชุมนุม จึงพูดได้ว่าตัวเองเข้าสภาไม่เกิน 5 วัน แต่นอนอยู่กลางถนนอยู่ไม่ต่ำกว่า 2 เดือนครึ่งร่วมกับพี่น้องประชาชนและยังได้รับฉันทานุมัติให้เป็นตัวแทนเข้าไปเจรจาให้นายกรัฐมนตรีที่มาจากสืบทอดอำนาจรัฐประหารลาออก

ซึ่งได้รับคำตอบคล้ายกับยุคหลังคือ เผด็จการขอเวลาอีกไม่นาน ทำให้ประชาชนยิ่งไม่พอใจและระดมกันมาชุมนุมมากขึ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกงล้อประวัติศาสตร์ที่ย่ำอยู่กับที่และกงล้อยิ่งจมลึกไปกว่าเดิม เหมือนรถที่ติดหล่ม ซึ่งเคยคิดว่าหลังจากเหตุการณ์ปี2535 จะไม่มีการรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจอีก แต่พิสูจน์แล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด เพราะเหตุการณ์ยิ่งหนักกว่าเดิม มีบาลสืบทอดอำนาจ มีนายกฯคนนอกและยังมี ส.ว.250 และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของคณะรัฐประหารอีกด้วย
คุณหญิงสุดารัตน์ เสนอว่า นอกจากให้กำลังใจ เชิดชูและเคารพวีรชนผู้เสียสละแล้ว อยากให้กำลังใจ ซึ่งประชาชนได้ใช้สิทธิ์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ชัยชนะไม่ได้จบที่ปลายปากกาของประชาชน แต่มันจะต้องมีความพยายามมากไปกว่านั้นในการรักษาสิทธิและอำนาจของประชาชนเองที่ได้เลือกพรรคการเมืองให้ไปทำงาน ที่สำคัญทางออกที่จะแก้ไขปัญหาอย่างถาวรคือ ต้องร่วมกันทำภารกิจ 2 อย่างคือ อย่างแรกทำให้พรรคการเมืองที่ประชาชนมอบฉันทามติได้เดินหน้าต่อในการจัดตั้งรัฐบาล โดยที่ไม่มีอะไรที่จะมีวาระแอบแฝงซ่อนเร้น ภารกิจที่ 2 คือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคไทยร่างไทยได้เสนอเข้าสภาฯแล้ว จึงอยากเชิญชวนทุกคนร่วมกันสนับสนุน

"มาช่วยกันสร้างรัฐธรรมนูญจากปลายปากกาของประชาชนและขจัดรัฐธรรมนูญที่มาจากปลายกระบอกปืนที่มาจากรัฐบาลให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง ภาคประชาชน เครือข่ายญาติวีรชนรวมถึงคนรุ่นใหม่ ตัวแทนนิสิตนักศึกษาต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาประเทศอย่างถาวร ไม่อยากเห็นความสูญเสียแม้แต่ชีวิตเดียวในอนาคตอีกแล้ว ต้องให้สิทธิ์และเคารพเสียงประชาชนอย่างแท้จริงช่วยกันแก้กติกายุติการสืบทอดอำนาจให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน มาร่วมกันสร้างสิ่งที่จะแก้ปัญหาให้ประเทศอย่างสาวรไม่ใช่แก้จุดหนึ่งแล้วก็จะเกิดปัญหาอื่นๆตามมา" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
ขณะที่ตัวแทนผู้ใช้แรงงานนำโดยนายสาววิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันแรงงานไทย วางพวงมาลา พร้อมกล่าวถึงบทบาทของขบวนการผู้ใช้แรงงานที่ร่วมในเหตุการณ์พฤษภา 35 และมองว่า ความอดอยากยากแค้นแสนเข็ญในขณะนี้ทำให้ผู้ใช้แรงงานเข้าใจภารกิจและบทบาทในการต่อสู้เป็นอย่างดี และเผด็จการนั้นแต่งตัวมาหลายรูปแบบ
หากมีอาวุธมีรถถังเป็นเครื่องมือก็เห็นภาพได้ชัดเจน แต่ยังมีเผด็จการที่ซ่อนรูปคือ เผด็จการทุนนิยม โดยในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น เจตนารมณ์ของประชาชนชัดเจนแล้วว่า ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ขณะที่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานไม่ต้องการให้ผู้ใดไปเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์นี้ จึงขอฝากถึงนักการเมืองที่ได้เข้าสภาฯว่า ต้องเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา แต่ไม่ต้องการเห็นลักษณะพวกมากลากไป ขอให้ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง และอย่าสร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายเผด็จการที่จะยกอ้างในการขอรัฐประหารโดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน
