"มนพร" โพสต์เฟซบุ๊กยืนยันกว่า 30 ปีไม่เคยยึดติดตำแหน่ง การเปลี่ยนผ่านการเมืองไม่ใช่อุปสรรค สิ่งสำคัญคือยืนหยัดรับใช้ประชาชน ทางด้านนักกิจกรรมรวมตัวหน้าพรรคประชาชน
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ย้ำจุดยืนทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊ก ระบุ การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีหรือการสลับจากฝ่ายรัฐบาลมาเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่อุปสรรคต่อการทำงาน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำหน้าที่เพื่อประชาชน
เธอกล่าวว่า ในตลอดเวลากว่า 30 ปี ตั้งแต่การทำงานการเมืองท้องถิ่นจนถึงตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่เคยยึดติดกับตำแหน่ง แต่ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นปากเสียงและที่พึ่งของประชาชน พร้อมยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยยังคงยืนหยัดบนหลักการ “หัวใจคือประชาชน” และจะเดินหน้าผลักดันการพัฒนาทุกด้านแม้จะอยู่ในบทบาทฝ่ายค้าน
“การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือหัวใจที่ยืนอยู่กับประชาชน และพร้อมตรวจสอบรัฐบาลเพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน” นางมนพรกล่าว
“อนุสรณ์” ชี้เพื่อไทยมูฟออนเร็ว ประกาศเป็นฝ่ายค้านแท้–ตรวจสอบเข้มข้น
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยืนยันหลังการโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า พรรคเพื่อไทยจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มกำลัง เป็น “ฝ่ายค้านแท้” ที่ตรงไปตรงมา ไม่อ่อนข้อกับการใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม
เขาระบุว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะขาดฝ่ายค้านที่กล้าหาญไม่ได้ พรรคเพื่อไทยพร้อมยืนหยัดตรวจสอบทุกการตัดสินใจของรัฐบาลใหม่ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน และจะไม่ยอมให้การเมืองดำเนินไปอย่างลับลวงพราง
“ฝ่ายค้านที่แท้จริงไม่ใช่แค่การค้าน แต่คือการต่อสู้เพื่อความจริง ความยุติธรรม และอนาคตของประเทศ พรรคเพื่อไทยจะไม่ประนีประนอมกับความไม่ถูกต้อง” นายอนุสรณ์กล่าว
นักกิจกรรมชูป้ายหน้าพรรคประชาชน หลังโหวต ‘อนุทิน’ นั่งนายกฯ
เมื่อคืนวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา มีกลุ่มนักกิจกรรมจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์หน้าพรรคประชาชน หลังการโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 โดยผู้ชุมนุมถือป้ายข้อความวิพากษ์วิจารณ์การเมือง เช่น “เงามืดกำลังแผ่ปกคลุมประเทศไทย ประชาธิปไตยกำลังถูกกลืนกิน” และตั้งคำถามต่อข้อเสนอการยุบสภาในอีก 4 เดือนข้างหน้า
ผู้ชุมนุมยังเรียกร้องให้มีการยุติคดีการเมืองใหม่ การนิรโทษกรรมที่รวมมาตรา 112 และคืนสิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องคดีการเมือง พร้อมย้ำว่า หากข้อเสนอไม่ถูกทำตาม จะต้องมีผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น