“ภคมน” ข้องใจ งบ งบศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการแลนด์บริดจ์ ผูกพันยันงบปี 70
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2 - 3 มาตรา 15 กระทรวงคมนาคม
น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนอภิปรายว่า วันนี้ตนเองขอพูดถึงสำนักงาน สนข. ในโครงการการศึกษาจัดเตรียมเอกสารคัดเลือกเอกชนลงทุนโครงการเชื่อมอ่าวไทย - อันดามัน หรือแลนด์บริดจ์ งบประมาณ 15,400,000 บาท จากเอกสารที่ส่งมา ชัดเจนว่าโครงการนี้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์แม้แต่เพียงข้อเดียว วัตถุประสงค์บอกว่าเพื่อจะทำเอกสาร และสัญญาสำหรับคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมอ่าวไทย - อันดามัน พร้อมจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภาพรวม และร่างกฎหมายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ความตั้งใจที่พิมพ์ลงเอกสารดี ชวนให้ฝันถึงโครงการแห่งอนาคต แต่หากย้อนไปดูข้อเท็จจริง เราจะพบว่าภาพฝันนี้ไม่ได้ถูกสร้างบนความจริงทางเศรษฐกิจเลย ถูกสร้างบนกระดาษ และประชาสัมพันธ์ซ้ำ ๆ ในขณะที่รายงานการศึกษาของหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงาน ก็ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่คุ้มค่า แม้แต่รายงานของกรรมการวิสามัญ ก็ให้ความชัดเจนเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนไม่ได้ ขณะเดียวกันที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน เดินทางไปโรดโชว์โครงการนี้ในต่างประเทศ
สุดท้ายกลับมาบอกได้เพียงว่านักลงทุนต่างชาติสนใจ ไม่มีมากกว่านั้น ทำไมตนเองถึงกล้าฟันธงแบบนี้ เพราะในที่ประชุมสภา ตนเองได้ตั้งกระทู้ถามนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ถามว่านายกรัฐมนตรีสองท่านที่ไปเชิญนักลงทุนที่โตเกียว ซานฟรานซิสโก และดาวอส รัฐบาลมีการติดตามข้อมูล และรายชื่อของนักลงทุนเอาไว้หรือไม่ หากมีการเปิดประมูลแล้ว จะมีนักลงทุน เข้าร่วมมากน้อยแค่ไหน
น.ส.ภคมน กล่าวต่อว่า คำตอบที่ได้ดูไบเวิลด์ และไชน่า ฮาเบิล สนใจร่วมศึกษาความเป็นไปได้ซึ่งต้องรอผลการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ก่อนตั้งคณะทำงาน และตัดสินใจร่วมกันว่าจะมีการประมูลร่วมกันหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย ไม่ได้น่าตื่นเต้น เพราะดูไบเวิลด์ เคยขอศึกษามาแล้วตั้งแต่ปี 2552 การศึกษาบอกว่าเอกชนลงทุนเองไม่ได้ มันไม่คุ้มค่า รัฐบาลต้องเข้ามาสนับสนุน แต่หากจะแกะคีย์เวิร์ดสำคัญ คำตอบวันนั้นท่านรัฐมนตรีตอบว่า เมื่อผลศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมออกมาแล้ว ก็จะได้ลุ้นตอนต่อไปว่านักลงทุนสนใจจะเอาด้วยหรือไม่ ก็เลยรีบลักไก่ทำผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมออกมาเลย ซึ่งเมื่อต้นเดือนสิงหาคมปี 2568 สนข. จัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 3 ต่อรายงาน EHIA ท่าเรือน้ำลึกชุมพรระนองข้อมูลกว่า 1,300 หน้า แต่เปิดให้ประชาชนเข้าดูเพียง 15 วัน กำหนดขอบเขตการศึกษา 5 กิโลเมตร ทั้งที่โครงการใหญ่ถึง 6,000 ไร่ และตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์สำคัญ ละเลยการประเมินผลกระทบของมรดกโลก และเชิญประชาชนเพียง 3 ตำบลเท่านั้นให้เข้าร่วม ทั้งที่ควรจะครอบคลุมทุกอำเภอที่ได้รับผลกระทบ
น.ส.ภคมน กล่าวว่า สภาพความเป็นจริงกับวัตถุประสงค์ของโครงการไปคนละทาง นับว่ารัฐบาลกำลังเร่งวางหมากใหญ่ และมีอำนาจมากกว่า คือการร่างกฎหมายเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ SEC หากกฎหมายนี้ลุล่วง จะครอบคลุมทั้งแลนด์บริดจ์ โครงการก่อสร้างพื้นฐานอยู่ในภาคใต้ เป็นกลไกรวมอำนาจ โดยตั้งคณะกรรมการพิเศษ พร้อมยกเว้นกฎหมายอย่างน้อย 16 ฉบับ ทั้งผังเมือง สิ่งแวดล้อม การเวนคืน การจัดซื้อจัดจ้าง
SEC ไม่ใช่เครื่องมือการพัฒนา แต่คือเครื่องมือการตัดต่อ และตัดเสียงทักท้วง ปิดประตูการมีส่วนร่วมของประชาชน ตนเองถามตรง ๆ ว่าวันนี้ SEC มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ยืนยันความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจแล้วหรือไม่ เผยแพร่ผลการศึกษาต่อสาธารณะรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนแล้วหรือไม่ และถ้าความคุ้มค่ายังไม่ชัด รัฐบาลจะดันทุรังดินหน้าต่อหรือไม่
เรามีบทเรียนจาก EEC ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่โฆษณากับความเป็นจริงมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นอกจาก EEC จะไม่ทำให้ยกระดับประเทศให้เป็นประเภทรายได้สูงตามเป้าแล้ว ในโครงการ ยังทิ้งปัญหามากมายให้กับคนในพื้นที่
ทั้งหมดที่กล่าวมาตนเองไม่ได้จะขวางการพัฒนาในภาคใต้ ตนเองเป็นคนใต้อยากเห็นการพัฒนาในภาคใต้ แต่การพัฒนาไม่ว่าจะภาคไหน ท่านต้องมองเห็นโอกาสของประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน อย่าใช้คนในพื้นที่เป็นเพียงต้นทุนเพื่อต่อยอดให้กับนายทุนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ ถ้ารัฐบาลยังมองว่า SEC คือโอกาส แต่เลือกที่จะใช้วิธีการแบบ EEC ผิดตั้งแต่คิด วันนี้เงิน 15 ล้านบาทที่จะต้องเตรียมในการศึกษา มันไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นจริงเลย ท่านจะเกาให้หนังถลอกทั้งตัว มันก็ไม่หายคัน เพราะปัญหามันคือโครงการแลนด์บริดจ์ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน และจะจัดเตรียมเอกสารอย่างไร ให้นักลงทุนเขาสนใจ
ทั้งนี้ การศึกษาเตรียมเอกสารการคัดเลือกเอกชน การลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ มันผูกพันมาตั้งแต่ปี 2567 เสียเงินไปแล้ว 34 ล้านบาทและผูกพันไปในปีงบประมาณ 2570 อีก 11 ล้านบาทรวมทั้งโครงการศึกษาจัดเตรียมเอกสารเพื่อให้ลงทุนให้เอกชนเข้ามาลงทุน 45 ล้านบาท เงิน 45 ล้านบาท กับการลงทุนที่ผูกพันขนาดนี้ และมองไม่เห็นผลลัพธ์เลย ตนเองคิดว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุจริง ๆ