ศาลไต่สวน 5 พยาน แพทย์-พยาบาลยืนยัน "ทักษิณ" ใส่ชุดนักโทษ ก่อนส่งตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ 

ศาลไต่สวน 5 พยาน แพทย์-พยาบาลยืนยัน
ศาลไต่สวนพยานคดีชั้น 14 กลุ่มแพทย์-พยาบาล 5 ปาก ยันเห็น "ทักษิณ" ใส่ชุดนักโทษ  นัดไต่สวนนัดต่อไป 8 ก.ค. ส่วนวันที่ 18 ก.ค. ศาลเรียก 2 แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจขึ้นไต่สวน 

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ภายหลังศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีถูกศาลพิพากษาจำคุกแต่ได้มีการส่งตัวนายทักษิณไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ  โดยในวันนี้ศาลไต่พยานฝ่ายผู้ร้องจำนวน 5 ปาก โดยเป็นบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งทำการตรวจร่างกายรับตัวนายทักษิณ 

โดยพยานปากแรกคือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เบิกความสรุปว่า ได้รับมอบหมายให้ตรวจร่างกายนายทักษิณซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพในเวลาประมาณ 11.00 น. และพบว่านายทักษิณมีประวัติการรักษาจากต่างประเทศ 10 โรค และนายทักษิณแจ้งว่ามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียจากการเดินขึ้นบันไดมา เมื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว หัวใจปกติ แต่แขนขาอ่อนแรง และที่อนุญาตให้ส่งตัวนายทักษิณไปยังโรงพยาบาลภายนอกเพราะทางพยาบาลแจ้งอาการแล้วเห็นว่าทางพยาบาลอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยมากกว่า และโรคที่เป็นโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีเครื่องมือและแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงไม่มียาที่ผู้ป่วยต้องใช้ จึงเห็นควรให้ส่งไปรักษานอกเรือนจำ

ส่วนกรณีใบส่งตัวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยใบนำส่งตัวจะเขียนกรณีที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีศักยภาพรักษาแต่จะให้ส่งตัวเวลาราชการและไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นวันไหน และไม่ได้เป็นผู้บอกว่าจะต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจเพราะไม่ทราบว่าโรงพยาบาลไหนจะสามารถรับตัวผู้ป่วยได้ และหลักการส่งตัวยึดมาตั้งแต่ปี 2563 และคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก 

ขณะที่ นพ.นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรประจำวัน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เบิกความสรุปว่าตนเป็นแพทย์นอกเวลาและไม่ได้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ช่วงวันที่ 22 ส.ค. ตนเข้าเวร 16.30 น. ถึง 08.30 น.ของอีกวัน ปรากฎว่าวันดังกล่าวมีพยาบาลโทรมาแจ้งอาการของนายทักษิณ จึงให้ความเห็นไปว่า เมื่อวินิจฉัยประกอบกับประวัติการรักษาจากต่างประเทศแล้ว มีอาการจากโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ จึงเห็นควรปรึกษาแพทย์คนแรกที่ตรวจร่างกาย นายทักษิณเมื่อตอนที่รับเข้าเรือนจำ และส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอกหากไม่ได้นำส่งจะมีความเสี่ยงกับตัวผู้ป่วย อีกทั้งโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพไม่พอ บวกกับเงื่อนไขของเวลา โดยพิจารณาความเห็นจากพยาบาลที่โทรเข้ามาเพียงอย่างเดียว เพราะว่าไม่ทราบว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพอยู่บริเวณไหน ยืนยันว่าตนมีหน้าที่ให้ความเห็นทางการแพทย์เท่านั้น ส่วนการส่งตัวออกไปรักษาภายนอกเป็นหน้าที่ของเรือนจำ

ด้านพยานปากที่ 3 นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลวิชาชีพประจำโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จังหวัดสุโขทัย เบิกความสรุปว่า ขณะเกิดเหตุตนเป็นพยาบาลที่สถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทำหน้าที่ตั้งแต่ 8.00-16.30 น. และอยู่เวรต่อเนื่องจนถึงเวลา  08.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้ต้องขังภายในสถานพยาบาลรวมถึงนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังใหม่ในกลุ่ม 608 และนายทักษิณได้ถูกควบคุมตัวที่ห้องกักโรค ซึ่งแพทย์สั่งให้ติดตามอาการทุก 4 ชั่วโมง ในตอนนั้นนายทักษิณอยู่ในห้องเพียงคนเดียวและได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักโทษแล้ว ต่อมาเวลา 22.00 น. นายทักษิณแจ้งว่ามีอาการแน่นหน้าอก จึงแจ้งไปยังแพทย์เวรโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่มีความเห็นว่าเห็นควรส่งไปโรงพยาบาลภายนอกเนื่องจากรู้ว่าศักยภาพของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่พอ และโทรไปหาพญ.รวมทิพย์ เพื่อขออนุญาตใช้ใบส่งตัว ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลา 2 ชั่วโมงและแจ้งพัศดีเวรตลอด ระหว่างที่รอส่งตัวได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวให้นายทักษิณทราบ และหลังจากนั้นจึงมีพัศดีประคองนายทักษิณไปขึ้นรถพยาบาลของเรือนจำโดยใช้เวลา 20 นาที เมื่อถึงโรงพยาบาลตำรวจมีเจ้าหน้าที่มารับ ไม่ทราบว่านำนายทักษิณไปยังห้องฉุกเฉินหรือไม่ ส่วนตนไปเปิดเวชระเบียน และได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ให้นำเวชระเบียนขึ้นไปให้พยาบาลที่ชั้น 14 จึงทราบว่า นายทักษิณอยู่ที่นั่นแล้วแต่ไม่ทราบว่าอยู่ห้องไหนแต่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เฝ้าอยู่  และทั้งนี้จากประสบการณ์ทำงานถ้าเป็นโรคเฉพาะทางที่ราชทัณฑ์ไม่มีศักยภาพในการรักษาจะส่งตัวออกไปรักษาโรงพยาบาลภายนอก ส่วนที่ไม่ส่งไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์แม้จะห่างกันไม่มากเกรงว่าหากไปส่งจะทำให้เสียเวลามากขึ้นจากการเตรียมอุปกรณ์และรถไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง อีกทั้งนายทักษิณไม่มียาโรคประจำตัวติดตัวเนื่องจากญาติยังไม่ส่งเข้ามาให้ แม้จะโรงพยาบาลราชทัณฑ์จะมียารักษาแต่ก็เป็นคนละชนิดกับที่ผู้ป่วยใช้รักษา  ส่วนอาการจะกำเริบแค่ไหนอยู่ที่ผู้ป่วยควบคุมการกินยาได้ตรงเวลาหรือเปล่า อย่างไรก็ตามตนปรึกษาแพทย์เวร แล้วและให้ความเห็นว่าควรส่งตัวไปรักษาภายนอกเช่นโรงพยาบาลตำรวจซึ่งปกติจะส่งไปที่นี่บ่อยเนื่องจากได้ทำ MOU ไว้

ส่วนพยานอีก 2 ปาก เป็นพยาบาลที่ได้รับการติดต่อให้เข้ามาช่วยเหลือในการตรวจร่างกายแต่สุดท้ายแพทย์ไม่ได้เรียกตัวเข้าไปช่วยเหลือแต่อย่างใด ทั้งคู่อยู่ภายนอกห้องตรวจ

ต่อมาศาลได้อ่านกระบวนพิจารณาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวันนี้นัดไต่สวน คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 อัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ และทนายจำเลย มาศาล ส่วนจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลไม่มาฟังการพิจารณา ศาลไต่สวนพยานได้ 5 ปาก ให้เลื่อนไปไต่สวนในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 9.00น. ตามที่นัดไว้เดิม

อนึ่ง มีการนำข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของพยานซึ่งศาลไต่สวนในนัดก่อนออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในลักษณะคำต่อคำผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ซึ่งอาจทำให้พยานบุคคลที่จะมาเบิกความในลำดับถัดไปทราบข้อเท็จจริงที่พยานคนก่อนได้เบิกความไว้ และอาจทำให้ศาลไต่สวนแล้วได้ข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมถึงอาจมีการนำคำเบิกความของพยานดังกล่าวไปวิเคราะห์หรือให้ความเห็นในทางคดีจนก่อให้เกิดความสับสนแก่สังคมได้ ประกอบกับข้อมูลด้านสุขภาพของจำเลยเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ศาลให้คู่ความและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีงดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน และศาลได้นัดเพิ่มในวันที่ 18 ก.ค. จะเป็นแพทย์ใหญ่และแพทย์เจ้าของไข้จากโรงพยาบาลตำรวจ 2 คน ได้แก่ พล.ต.ต.นพ.ศุภฤกษ์ (สงวนนามสกุล) และ พล.ต.ท.นพ.สุรพล (สงวนนามสกุล) เข้ามาเบิกความ และวันที่ 25 ก.ค.ศาลได้ออกหมายถึงแพทย์สภา ขอเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคของจำเลยมาเบิกความเป็นพยานความเห็น 

ทั้งนี้ในการไต่สวน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ยื่นคำชี้แจง 307 แผ่น แพทยสภาส่งมติที่ประชุม 113 หน้า และผลตรวจสอบแพทย์ 1,190 หน้า กสม.20 แผ่น จำเลยยื่นคำชี้แจง 55 แผน ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพยื่นเอกสารเบิกค่าเวร 77 แผ่น ทนายจำเลยส่งประวัติการรักษาไว้พิจารณา และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจส่งหลักฐานค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และค่ารักษาพยาบาลของจำเลยไว้พิจารณา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 9.00น. ตามที่นัดไว้เดิม คือ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ  

ส่วนในวันที่ 15 ก.ค.เป็นผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ และอดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ  อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์

ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เปิดเผยว่าของดให้รายละเอียดเกี่ยวกับการไต่สวนพยาน เนื่องจากศาลกำชับไว้ว่าคำเบิกความ ข้อเท็จจริงข้อมูลส่วนบุคคล หรือข้อมูลสุขภาพของจำเลย ขอให้งดเว้นเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยการนัดไต่สวนพยานทั้ง 5 ปากในวันนี้เรียบร้อยหมดแล้ว มีการไต่สวนประกอบเอกสารหลายส่วน และมีหมายเรียกพยานเพิ่มอีก 2 ปากในวันที่ 25 ก.ค.68 นอกจากนี้ยังจะมีการนัดไต่สวนพยานในวันที่ 8, 15, 18 และ 25 ก.ค.68 ด้วย 

นายวิญญัติ ยอมรับว่าตนเองเป็นคนยื่นให้ศาลออกข้อกำหนดนี้ เนื่องจากครั้งที่แล้วมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และบุคคลต่าง ๆ นำข้อมูลการไต่สวนของศาลไปวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นในที่ต่าง ๆ ทั้งที่คดียังอยู่ระหว่างการไต่สวน เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเอาไปวิเคราะห์ให้เกิดความสับสน ศาลจึงมีคำสั่งให้งดเว้นการนำเสนอในลักษณะนี้

ด้านนายแพทย์วรงค์ ระบุว่า ในภาพรวมของการไต่สวนวันนี้ มี 3 ประเด็นที่น่าสนใจ ประเด็นแรกคือ ทำให้ได้เห็นความเชื่อมโยงในการดำเนินการส่งตัวนายทักษิณว่า เป็นการดำเนินการของพยาบาลเวรเป็นหลัก ที่ประสานงาน เลือกโรงพยาบาลตำรวจ โดยที่แพทย์เวรเองก็ไม่ทราบเรื่อง

ประเด็นที่ 2 คือเรื่องระยะเวลาในการส่งตัวนายทักษิณไปที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงศาลก็มีคำถามว่าเหตุใดจึงไม่ส่งไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งอยู่ใกล้กว่าเพียงแค่ 200 เมตรหากมีอันตรายใดๆ ระหว่างการทรงตัวจะทำอย่างไร

และประเด็นที่ 3 ศาลได้ถามว่า ทราบหรือไม่ว่านักโทษรายนี้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี หากปล่อยเวลา 2 ชั่วโมงนี้ไว้ ทั้งที่มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจหอบ แล้วเป็นอะไรขึ้นมา จะเป็นอย่างไร

ขณะที่ นายแพทย์ตุลย์ ได้ย้ำว่า ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลตำรวจนั้นอยู่คนละตึกกับชั้น 14 ที่นายทักษิณรักษาตัว ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นการส่งตัวฉุกเฉินจริงๆ ก็ควรต้องส่งไปที่ห้องฉุกเฉินก่อน หากตรวจแล้วมีความเห็นว่าไม่ฉุกเฉิน ก็สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกแล้วส่งกลับเรือนจำ แต่หากฉุกเฉินอาการหนักจริง การนำตัวไปรักษาชั้น 14 ก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี เพราะต้องส่งไปที่ส่วนเฉพาะทางด้านหัวใจ หรือห้องไอซียู ซีซียู เป็นต้น ซึ่งนี่เป็นการตั้งข้อสังเกตในฐานะแพทย์คนหนึ่ง และคิดว่าประชาชน รวมถึงแพทย์ทั่วไปก็น่าจะเห็นตรงกัน
 

TAGS: #ศาลฎีกา #แพทย์ #ทักษิณ #คดีชั้น14 #รพ.ตำรวจ #วิญญัติ #ชุดนักโทษ