รมว.แรงงาน เปิดแนวคิดใหม่! ใช้เงินจากกองทุนประกันสังคม 2.4 หมื่นล้านบาท ปล่อยกู้ลูกจ้าง-ผู้ประกันตนสูงสุด 2 แสนบาท เสริมรายได้-สู้หนี้นอกระบบ รออนุมัติบอร์ดสิ้นเดือนนี้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ชี้แจงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ผ่านสื่อมวลชน เนื่องจากเวลาชี้แจงในสภาฯ ในสัดส่วนของรัฐบาลไม่เพียงพอ ว่า กระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรงบประมาณ 68,169 ล้านบาทเศษ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้รับการจัดสรรงบเพิ่มขึ้นเป็นกรณีพิเศษ ประมาณ 500 กว่าล้านบาท เนื่องจากต้องมีการเพิ่มทักษะใหม่ๆ รวมไปถึงการฝึกอบรมในด้านAI และเซมิคอนดักเตอร์
ทั้งนี้ ในส่วนกองทุนประกันสังคมมีการปรับลดงบประมาณมากสุด แต่กองทุนประกันสังคมมีเงินสนับสนุนจากกองทุน ในแต่ละปีมีการจัดสรร 10 % นำไปใช้จ่ายได้ แต่ไม่เคยใช้ถึง 10% ใช้เพียง 2%กว่าๆ และในกองทุนประกันสังคมหากจะมีการอนุมัติในเรื่องใดต้องผ่านคณะกรรมการ(บอร์ด)ประกันสังคมที่มาจาก 3 ฝ่าย (นายจ้าง ลูกจ้าง และฝ่ายรัฐ)
นายพิพัฒน์ ชี้แจง กรณีฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตเรื่องการเยียวยาลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างว่า ในขณะนี้ทางกระทรวงแรงงานได้จัดทำเรื่องการของบประมาณช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้าง นำเสนอเข้าที่ประชุมครม.แล้ว แต่อยู่ระหว่างเวียนของแต่ละกระทรวง แต่ทางกระทรวงได้หาออกเพื่อแก้ปัญหาถาวร โดยมีการตั้งคณะกรรมศึกษาร่วมชุดหนึ่ง โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน และมีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และกองทุนประกันสังคม ได้ประชุมและมีแนวคิดที่จะให้นายจ้างสมทบเงิน 0.05% ฝากไว้ที่กองทุนเงินทดแทน และเมื่อมีปัญหาเลิกจ้าง หรือสถานประกอบการปิดกิจการ จะนำเงินส่วนนี้มาชดเชยให้กับลูกจ้าง และให้ทางกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นเจ้าภาพต่อสู้คดีกับนายจ้าง
ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้มีโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2568 – 2569) วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบจากกองทุนประกันสังคม 20,000 ล้านบาท และงบกลางจากรัฐบาลอีก 10,000 ล้านบาท เป็นการปล่อยเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับสถานประกอบการ โดยวงเงินสินเชื่อต่อรายแบ่งตามขนาดธุรกิจ ได้แก่ สถานประกอบการที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน สามารถกู้ได้สูงสุด 15 ล้านบาท, กรณีมีลูกจ้าง 201–500 คน วงเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท และสำหรับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 500 คนขึ้นไป วงเงินสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท
ในอัตราดอกเบี้ย สถานประกอบการที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกิน 2.35% ต่อปีในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่กรณีไม่มีหลักทรัพย์หรือใช้บุคคลค้ำประกัน ดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75% ต่อปี โดยต้องการกระตุ้นให้นายจ้างรักษาการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 80%
ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ เปิดเผยว่า มีแนวคิดนำเงินจากกองทุนประกันสังคม 2.4 หมื่นล้านบาท นำมาสนับสนุนผู้ใช้แรงงานตามมาตรา 33 39 และ 40 เพื่อนำไปสร้างอาชีพอิสระ เพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริม โดยมีธนาคารตอบรับเข้าร่วมโครงการแล้ว 2 แห่ง คือ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีวงเงินให้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อคน ส่วนดอกเบี้ยกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับธนาคาร แต่จะพยายามไม่ให้เกิน 8% ต่อปี
โดยนายพิพัฒน์ ยังชี้ช่องอีกว่า หากมีผู้ใช้แรงงานไปกู้เงินนอกระบบ ก็สามารถมากู้เงินดังกล่าวไปกลบหนี้นอกระบบได้ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า
นอกจากนี้เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงฯ ในฐานะประธานบอร์ดประกันสังคม ที่ต้องไปของบฯ จากบอร์ดอีก 5 % คือ จะได้เพิ่มอีกประมาณ 39,000 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท โดยอาจจะนำเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดประกันสังคม วันที่ 26 มิ.ย.นี้