“วิโรจน์” จี้ "นายกฯ"ปม ออกโฉนด โรงแรมหรูไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามบี้ กรมสรรพากร แจง ปมออกตั๋ว​ PN

“วิโรจน์” จี้
“วิโรจน์” จี้นายกฯ แจง ออกโฉนด โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่​ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ​เหตุเป็นต้นน้ำลำธาร ครอบครองได้ แต่ออกโฉนดไม่ได้ จี้​ อธิบดีกรมสรรพากร แจงปม​ นายกฯ​ ออกตั๋ว​ PN

นายวิโรจน์​ ลักขณาอดิศร​ สส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน​ เผย  การอภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรกที่ผ่านมา  ยังไม่ได้รับคำตอบจาก น.ส.แพทองธาร​ ชิน​วัตร นายกรัฐมนตรี​ กรณีถือครองที่ดินโรงแรม​เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่​ มีเพียงนายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ชี้แจงแทนแต่ตนยังมีความสับสนอยู่ เพราะนายวราวุธอ้าง ถึงประกาศ คณะปฏิวัติ พ.ศ.2515 ซึ่งปีดังกล่าวเป็นการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง แต่ไม่ได้ยกเลิกมติ ครม. ปี​ 2514 ที่กำหนดว่าพื้นที่แปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร

แสดงว่าประกาศคณะปฏิวัติ ไม่ได้ยกเลิก พื้นที่ต้นน้ำลำธาร ตามมติคณะรัฐมนตรี 2514 แสดงว่าพื้นที่ต้นน้ำลำธารยังคงอยู่ แล้วเมื่อปี 2567 คณะกรรมาธิการป.ป.ช. ของสภาผู้แทนราษฎรได้ขอข้อมูลไป และมีการส่งแผนที่ของที่ดินแปลงดังกล่าว มาให้ก็ยังปรากฏ ว่าเป็นที่ดินต้นน้ำลำธาร ยังคงอยู่ และถ้าที่ดินต้นน้ำลำธารยังอยู่ ตามประมวลกฎหมาย ที่ดินตามกฎกระทรวงฉบับที่43 ข้อ14(5) ก็ออกโฉนดไม่ได้ และล่าสุดการชี้แจงของกรมที่ดิน น่าแปลกใจและน่าตกใจมากๆ​ ที่คณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ​ จึงขอตั้งคำถามว่ามติของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ ลบล้างมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2514 ได้หรือไม่ ซึ่งกรมที่ดินต้องยืนยันว่า มติ คณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ ดังกล่าวใหญ่กว่ามติคณะรัฐมนตรีได้อย่างไร ศักดิ์และสิทธิ์ของกฎหมายเป็นอย่างไร และสิ่งสำคัญที่สุดอยากให้สื่อเข้าไปดูมติของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ โดยเฉพาะกรมที่ดิน ซึ่งเป็นผู้ประกาศกฎ ในรายละเอียดบอกว่าให้สิทธิการครอบครอง แต่ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าถ้ายึดตามมติ คณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติที่ดินแปลงนี้ ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์แต่ให้สิทธิครอบครอง ก็ยังยืนยันว่าออกโฉนดไม่ได้ คำถามไม่ได้คือการออกโฉนดแล้วถูกกฎหมายแต่คำถามคือออกโฉนดมาได้อย่างไร ที่ตรงนั้นเป็นที่ต้นน้ำลำธาร ตรงนี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ตอบสังคมและชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ประชาชนรับทราบ

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี​ ที่ซื้อหุ้นต่อมาจากมารดาและเครือญาติรวม 5 ราย ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงินหรือ PN มูลค่า 4.4 พันล้านบาท โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายเลี่ยงมิให้มารดาและเครือญาติต้องจ่ายภาษีกว่า 218 ล้านบาท​ ว่า ประชาชนยังรอฟังคำตอบจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ยอมรับว่า ได้มีการซื้อตั๋วสัญญา PN​ จริง และจะมีการจ่ายเงินภาษีในปีหน้า​ หากตนไม่ออกมาเปิดเผยจะมีการชำระหรือไม่ นอกจากนี้ประชาชนยังรอคำตอบจากอธิบดีกรมสรรพากร ว่าเป็นเรื่องปกติ ของคนในแวดวงธุรกิจที่ทำกันอย่างที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างหรือไม่​ และหากเป็นเรื่องปกติขอให้คนที่ทำเช่นนี้ช่วยแสดงตัว แต่จากการที่ตนสอบถามไม่มีใครแสดงตัว โดยให้เหตุผลว่ากลัวสรรพากร จึงเป็นที่มาของคำถามว่าของแพทองธาร​ นำตั๋วPN และที่ไม่มีกำหนดวันจ่าย และดอกเบี้ย แลกกับหุ้นบริษัท ของคนในกงสี​ เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย​ แต่เหตุใดจึงไม่กล้าแสดงตัว ทำไมถึงกลายเป็นนิรนาม​ ซึ่งเป็นสิ่งที่นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากรต้องตอบ ว่าพฤติกรรมของนางสาวแพรทอง ทำได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันมีเจ้าของห้างร้านจำนวนมาก จะโอนหุ้นในทรัพย์สินให้กับลูก จะได้ยึดโมเดลแพทองธาร​ ตนยังรอความชัดเจน จากอธิบดีกรมสรรพากร ว่าจะมีระเบียบ ออกมาชี้แจงที่ชัดเจนหรือไม่ เพื่อให้การจัดเก็บภาษี การรับ​- ให้ อัตรา 5% เสมอภาคทั้งประเทศ

นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ทราบว่ามีสื่อมวลชนพยายามติดต่ออธิบดีกรมสรรพากร เพื่อขอความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว

นายวิโรจน์​ ยังยกคำพิพากษาของศาลฎีกา ถ้าใช้ตั๋ว PN ในลักษณะเช่นนี้จำแลง การซื้อขายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ตามเจตนา มีความผิดตามกฎหมาย สามารถเทียบเคียงเอาผิดด้านจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีได้ เจตนารมณ์ภาษีรับ-ให้ เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับการรกระทำแบบนางสาวแพทองธารใช่หรือไม่ และคนที่ตอบได้ดีที่สุดคืออธิบดีกรมสรรพากร​ และตนจะไปยื่นเรื่องกับอธิบดีกรมสรรพากรในเร็วๆนี้ หากเรายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ จะมีผลกระทบการจัดเก็บภาษีของประเทศ ซึ่งคน ที่เป็นระดับผู้นำของประเทศ ควรทำพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่ และมองว่า พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ควรจะเกิดกับใครทั้งสิ้น ประชาชนควรได้รับความเสมอภาค ในการบังคับใช้กฎหมาย​​

TAGS: #ซักฟอกรัฐบาล #วิโรจน์ #พรรคประชาชน #แพทองธารชินวัตร #นายกรัฐมนตรี