กลุ่มอดีตผู้สมัคร สว.กว่า 30 คน ยื่นหลักฐานสำคัญเพิ่มเติมต่อ"กกต."ปมเลือกตั้งไม่โปร่งใส พร้อมร้อง ชะลอประกาศรายชื่อ 200 ว่าที่ สว.จี้ ตรวจสอบถ้าพบการฮั้ว ให้เลือกใหม่
กลุ่มผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว (อดีต ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และ นายจักรพงษ์ คงปัญญา พร้อมด้วยตัวแทนผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภากลุ่มอื่นๆ กว่า 30 คน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมยื่นหลักฐานสำคัญเพิ่มเติม ถึงประธาน กกต.กรณีการลงคะแนนเลือกตั้ง สว.ที่ผ่านมาไม่โปร่งใส ซื่อสัตย์ และเป็นธรรม และขอคัดค้านการประกาศรายชื่อ สว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 จนกว่าจะมีการตรวจสอบความถูกต้อง ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ
นายจักรพงษ์กล่าวว่า หลังจากเลือก ส.ว.แล้วเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา และได้ชื่อ ส.ว.แล้ว แต่กฎหมายให้เว้นไว้ 5 วัน แล้วประกาศรับรอง 200 ส.ว. ฉะนั้น กระบวนการที่ กกต.จัดเลือกตั้งเราไม่ได้ไปกล่าวหาเขา แต่เมื่อผลของการเลือกคนให้ได้ตรงกับอาชีพอย่างสุจริตและเที่ยงธรรมนั้น หา ส.ว.ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสายอาชีพกลุ่มนั้นๆ 20 กลุ่มอาชีพ แล้วได้ส.ว.เป็นอย่างไรเราก็คงเห็นตามหน้าสื่อแล้ว แต่นี่เป็นที่ระบบซึ่งถ้าเราไม่ช่วยกันติดตามตรวจสอบก็จะไม่เกิดผลดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบบดีอยู่บ้างที่เป็นประชาธิปไตยแม้ว่าจะไม่เต็มใบ แต่ก็ดีกว่ายกเลิกแล้วไปทำอย่างอื่น วันนี้เรามาคัดค้านตามกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเราแพ้แล้วมาหาเรื่อง หรือเป็นขี้แพ้ชวนตี
นายจักรพงษ์ กล่าวว่า มีคนที่มีความรู้ จบสูงๆ ยังตกตั้งแต่รอบอำเภอ แต่หลายคนที่เข้ารอบคือใส่รองเท้าแตะเสื้อยืดยังได้เข้าระบบเต็มไปหมด นี่เป็นคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบ การตรวจสอบคุณสมบัติ กกต.ได้ทำอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้วหรือยัง แล้วดำเนินการด้วยความมีมาตรฐานแล้วหรือไม่ในการรับสมัคร รับรอง และตรวจสอบ มีหลายคนที่มีชื่อเสียงร่วงระนาวก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร หน้าที่ของ กกต.ต้องตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวดไม่ให้คนที่มีคุณสมบัติผิดเพี้ยนไม่ถูกต้องเข้ามาในระบบ เมื่อไม่มีการตรวจ หรือตรวจไม่จริงจังก็จะทำให้ได้คนหลายกลุ่ม หลายพื้นที่ไหลเข้ามาสู่ระบบแล้วมาปนกับคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เมื่อเป็นแบบนี้จึงมีความไม่ยุติธรรมตั้งแต่ต้นแล้ว
นายจักรพงษ์กล่าวอีกว่า วันนี้ตัวแทนอดีตผู้สมัคร ส.ว.รวมตัวเพื่อยื่นเรียกร้องต่อ กกต.คือ 1.ให้ กกต.หยุดการประกาศชื่อรับรอง 200 ชื่อว่าที่ ส.ว.เอาไว้ก่อน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของคะแนนทุกคะแนนว่าการเลือก ส.ว.ครั้งนี้มีการเอาเปรียบผู้สมัครคนอื่นหรือไม่ ที่เรียกว่ามีการฮั้วกัน 2.หากพบว่าผลการตรวจสอบว่าคะแนนมีมูล หรือเหตุควรเชื่อว่ามีการฮั้วลงคะแนนให้กัน ให้ กกต.ประกาศให้ผลการเลือก ส.ว.ครั้งนี้เป็นโมฆะ และสั่งให้มีการเลือก ส.ว.ใหม่ทันที
นายจักรพงษ์กล่าวว่า 3.ก่อนการเลือกใหม่ให้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครใหม่ทั้งหมด เพื่อป้องกันผู้สมัครใหม่ที่ไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมายจริงทั้ง 20 กลุ่มอาชีพ 4.ในวันเลือกใหม่ กกต.จะต้องเข้มงวดไม่ให้ผู้สมัครนำเอกสาร หรือโพย หรือการจด การทำตัวเลขใดๆ บนร่างกาย รวมทั้งเครื่องมือสื่อสารใดๆ เข้าสู่สถานที่เลือกโดยเด็ดขาด และ 5.ให้ กกต.จัดพิมพ์เอกสารแนะนำตัว หรือ สว.3 ใหม่ แล้วแจกให้ผู้สมัครใหม่ก่อนเข้าช่องรอลงคะแนน โดยไม่ใช่การแจกให้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนเลือกเหมือนครั้งนี้ เพื่อป้องกันการจดโพยกัน
“ฉะนั้น ถ้า กกต.ดำเนินการตามที่เราเรียกร้องแล้วนั้นผลจะออกมาเป็นอย่างไรขอให้ทุกฝ่ายยอมรับ และเราพร้อมยอมรับและถือเป็นการสิ้นสุดการลงคะแนนเพื่อให้ ส.ว. 200 คนมาทำงานและให้ประเทศเดินหน้าต่อ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราไม่ได้มาใส่ร้ายใครจนกว่าพวกเราจะช่วยกันตรวจสอบ แต่ไม่ใช่ไปตรวจในห้องกัน 2 คนแล้วมาบอกว่าถูกทั้งหมด หรือไปบอกว่าผิดทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่ และกระบวนการตรวจสอบก็ควรหาผู้เชี่ยวชาญจริงๆ มาตรวจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องระเบียบข้อกฎหมายที่เราต้องปรับปรุงและพัฒนาต่อไป แต่ระบบดีอยู่แล้ว กกต.ก็ทำงานดีอยู่แล้วแต่ถ้าเราพบปัญหาเราก็ต้องให้มีการตรวจสอบอย่าเดินหน้าต่อเพราะท่านติดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว คืออนุญาตให้คนไม่มีคุณสมบัติเข้ามาในระบบ และวันนี้ท่านกำลังจะติดกระดุมเม็ดสุดท่านคือการประกาศ 200 ชื่อ ส.ว. แต่เชื่อว่าติดไม่ได้ เพราะท่านติดผิดตั้งแต่เม็ดแรกแล้ว” นายจักรพงษ์กล่าว
ด้าน นายพานิชย์ เจริญเผ่า ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ระดับอำเภอบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา กลุ่มที่ 17 กลุ่มประชาสังคม กลุ่มองค์กรสาธารณประโยชน์ ที่ผ่านเข้ารอบการคัดเลือกระดับจังหวัด แต่สละสิทธิ์ไม่ไปรับเลือก มายื่นหนังสือร้องกกต. เรื่อง ขอให้การเลือกสว.จำนวน 200 คน ในครั้งนี้เป็นโมฆะ และ ขอให้ไม่รับรอง นายชินโชติ แสงสังข์ หรือ ชื่อเดิมนายประเทือง แสงสังข์ ผู้ได้รับเลือกเป็นสว.ในกลุ่มที่ 7 และขอให้ดำเนินคดีกับนายชินโชติ ในการนำเอกสาร และใช้เอกสารอันเป็นเท็จมาลงสมัครรับเลือกสว.ในครั้งนี้
โดยภายหลังยื่นหนังสือ นายพานิชย์ กล่าวว่า วันนี้ตนมายื่นเรื่องขอให้ถอดถอนบุคคล ที่ได้รับการเลือกเป็นสว. กลุ่มที่ 7 กลุ่มแรงงาน เนื่องจากยื่นเอกสารอันเป็นเท็จต่อ กกต. ในการสมัครรับเลือกสว.ครั้งนี้ ซึ่งตนยื่นเอกสารให้ กกต. ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเอกสารดังกล่าว เป็นเอกสารของราชการทั้งสิ้น และอ้างอิงในศาล มีการฟ้องร้องในคดี โดยที่นายชินโชติ ขอร้องให้ไปถอนเรื่องการศึกษาที่ได้แจ้งเท็จไว้ในการเทียบโอน ตั้งแต่มัธยมต้นถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ว่าเป็นเท็จ
พร้อมกันนี้นายพานิชย์ กล่าวต่อว่า ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ มีมติให้ถอดถอนทะเบียนโดยการเทียบโอนนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากมีการย้ายผู้บริหารคนใหม่มาแทน ตนขอย้ำว่า เอกสารดังกล่าวขอให้ไปถอน รวมทั้งจะถอนฟ้อง เพราะเป็นคดีที่ศาล จ.สมุทรปราการ แต่จำเลยที่สาม ก็ไม่ได้ถอนฟ้อง หรือดำเนินการถอนเรื่องที่ กกต. ใดๆ ทั้งสิ้น
นายพานิชย์ กล่าวอีกว่า ตนเห็นว่า เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องที่มีการจัดตั้งกันอย่างเป็นขบวนการ ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ตามกฎหมาย และเจตนารมณ์ที่ตนต้องการ ดังนั้น ตนจึงปฏิเสธไปรับสมัครเลือก สว. ระดับ จ.พระนครศรีอยุธยา และเป็นบุคคลเดียว และบุคคลที่ตนมาร้องนั้น ก็ลงสมัครใน จ.พระนครศรีอยุธยา และมาขอคะแนนจากตน ซึ่งบุคคลดังกล่าวมีหลักฐานและยังไม่ได้ดำเนินการทั้งสิ้น ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นลูกน้องคนเก่าตนในด้านแรงงาน และปัจจุบัน นายชินโชติ ก็เป็นนักศึกษาชุดปัจจุบันของ กกต.
อีกทั้ง นายพานิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กกต. สามารถตรวจสอบประวัติได้ไม่ยากนัก และใช้อำนาจหน้าที่เรียกมาสอบสวน และดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป หาก กกต. ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ตนต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรกับ กกต. ทั้ง 7 คน ดังกล่าว ต่อไป
เมื่อถามต่อว่า บุคคลที่มาร้อง เกี่ยวข้องกับการฮั้วสมัครรับเลือกสว. หรือไม่ นายพานิชย์ กล่าวว่า นายชินโชติ เคยสมัครรับเลือกตั้ง เป็นส.ส.สมุทรปราการ ในพรรคที่ปัจจุบันมีอิทธิพล ฉะนั้น ยอมผูกพันกันกับในพรรคการเมืองดังกล่าว หากไม่จัดตั้งมา คงไม่ได้ 77 คะแนน ในระดับประเทศนั้น คงไม่น่าจะเป็นได้ เนื่องจากไม่ได้มีบทบาท หรือโด่งดังอะไร ตนจึงมองว่า บุคคลคนนี้ ไม่สมควรได้เข้าไปเป็นสว. ในการเลือกครั้งนี้
เมื่อถามย้ำว่า มองว่าขั้นตอนต่อไปนี้ กกต. จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปกับนายชินโชติ นายพานิชย์กล่าวว่า ต้องระงับการรับรองบุคคลดังกล่าว หากรับรองและมีเอกสารชัดเจน และทางกกต.ไม่เรียกตนมาชี้แจงสอบสวน ถือว่า กกต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ดังนั้น จึงต้องไปพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไปของของ กกต.