หลังเก็บตัวสองวัน "อุช โบฤทธิ์" มือขวา "ฮุน เซน" ขึ้นโพเดียมเวทีรัฐสภาโลกกล่าวหาไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนชายแดน ปล่อยเสียงหลอนกลางคืน พร้อมอ้างแผนที่–MOU 43–คำตัดสินศาลโลกเป็นหลักฐานเหนือกว่าไทย
ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในการประชุม สมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) ครั้งที่ 151 นาย อุช โบฤทธิ์ รองประธานวุฒิสภากัมพูชา และมือขวาของอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที General Debate เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากเงียบหายไปตลอดสองวันแรกของการประชุม
ตลอดช่วงสองวันก่อนหน้า นายอุช โบฤทธิ์ไม่ปรากฏตัวในห้องประชุมใด ๆ ของ IPU แม้แต่ในวันเปิดเวทีใหญ่ (20 ตุลาคม) ซึ่งเปิดให้ประธานรัฐสภาจากประเทศต่าง ๆ กล่าวถ้อยแถลง โดยในวันนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาไทย ได้ขึ้นพูดเป็นลำดับที่ 17 ในลิสต์ A แต่ไม่มีผู้แทนระดับสูงจากกัมพูชาเข้าร่วมฟัง มีเพียงสมาชิกสภากัมพูชานั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง
สำหรับวันถัดมา นายอุช โบฤทธิ์ได้รับคิวพูดในลิสต์ B เนื่องจากดำรงตำแหน่ง “รองประธานวุฒิสภา” จึงได้ขึ้นเวทีในวันที่สองของการอภิปรายทั่วไป
ขึ้นเวที “ถล่มไทย” กลางที่ประชุม IPU
ตามความคาดหมายของฝ่ายไทย “เบอร์สองฮุนเซน” ใช้โอกาสบนเวทีโลกกล่าวโจมตีประเทศไทย โดยอ้างข้อมูลฝ่ายเดียวเกี่ยวกับปัญหาพิพาทชายแดน
ตอนต้นของสุนทรพจน์ นายอุช โบฤทธิ์เปิดด้วยท่าทีเป็นมิตร ขอบคุณผู้แทนจากไทยที่ร่วมประชุม และยืนยันว่ากัมพูชายึดมั่นในสันติภาพ ความปรองดอง และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เพียงไม่นาน บทพูดก็วกเข้าสู่ประเด็นพิพาทชายแดน โดยระบุว่า “หากประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมอย่างตรงไปตรงมา จะเห็นว่ามาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนถูกละเมิดอย่างรุนแรงในพื้นที่ชายแดนของกัมพูชา”
“กัมพูชาไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น จึงขอร้องประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ให้รับทราบเรื่องนี้ด้วย” เขากล่าว
อ้าง “สนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยาม” และ “ศาลโลก 2505”
นายอุช โบฤทธิ์ยังอ้างว่า ปัญหาพรมแดนไทย–กัมพูชามีขอบเขตชัดเจนตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยอ้างถึง สนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยาม ปี ค.ศ.1904, สนธิสัญญาเพิ่มเติม และ คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ปี ค.ศ.1962 ที่กัมพูชามองว่าให้สิทธิเหนือพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
เขายังกล่าวถึง บันทึกข้อตกลง MOU ปี 2543 (ค.ศ.2000) ซึ่งระบุการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมด้านเทคนิคเพื่อพิจารณาเขตแดน โดยระบุว่า “ความขัดแย้งควรได้รับการแก้ไขผ่านกลไกทางกฎหมายและตุลาการที่ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่ด้วยการกระทำฝ่ายเดียว”
กล่าวหาไทย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน–ทำสงครามจิตวิทยา”
รองประธานวุฒิสภากัมพูชายังกล่าวหาว่า ทหารกัมพูชา 18 นาย ถูกควบคุมตัวโดยฝ่ายไทย และประชาชนตามแนวชายแดนถูกกดดันให้ออกจากพื้นที่ พร้อมอ้างว่ามีการ “ปล่อยเสียงแหลมดังยามค่ำคืน” เพื่อสร้างความหวาดกลัวแก่ชาวกัมพูชา ซึ่งถือเป็น “การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และอนุสัญญาระหว่างประเทศ”
นอกจากนี้ เขายังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ากัมพูชาละเมิดต่อมรดกโลก โดยย้ำว่า “ปราสาทพระวิหารและโบราณสถานต่าง ๆ เป็นของกัมพูชา การส่งทหารและยุทโธปกรณ์ไปประจำการ เป็นเพียงการพิทักษ์ดินแดนของตนเอง”
เกินเวลา–โดนประธาน IPU ตักเตือน
ตลอดการปราศรัย นายอุช โบฤทธิ์พูดยาวเกินเวลาที่กำหนด แม้มีไฟสัญญาณสีแดงกระพริบเตือนและประธานการประชุม ซึ่งเป็นสตรีชาวยุโรป กล่าวขัดจังหวะหลายครั้งว่า “เวลาหมดแล้ว” แต่เจ้าตัวไม่ยอมหยุดพูด จนกระทั่งเสียงไม่พอใจเริ่มดังจากผู้แทนประเทศอื่น
หลังสุนทรพจน์จบลง ประธานสมัชชา IPU กล่าวตำหนิบนเวทีทันที ว่าเป็นการไม่เคารพกติกาและเวลาของที่ประชุม ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้แทนประเทศอื่นที่ยังรอคิวอภิปราย