รัฐบาลเปิดรับฟังความคิดเห็น “ร่าง พรบ. ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์” ปลดล็อกโซล่าร์-ปลดภาระค่าไฟชวนประชาชนร่วมส่งเสียง! เหลือเวลาอีก 1 วัน
น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน ภายใต้การนำของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำลังเสนอ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์” เพื่อผลักดันให้ประชาชนสามารถติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดบนหลังคาบ้าน หรือ “โซล่ารูฟท็อป” ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดขั้นตอน ลดค่าใช้จ่าย และลดภาระค่าไฟอย่างยั่งยืน
โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ อยู่ในขั้นตอน “เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบกลาง” ซึ่งจะสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้ คือวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ประชาชนสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ผ่านเว็บไซต์ www.law.go.th ซึ่งเป็นช่องทางกลางของภาครัฐในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายต่าง ๆ
ปัจจุบัน การติดตั้งระบบโซล่ารูฟท็อปในประเทศไทยต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะการขออนุญาตจากหน่วยงานราชการถึง 5 แห่ง ทำให้ประชาชนจำนวนมากถอดใจกลางทาง
ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อ “ปลดล็อกทุกข้อจำกัด” โดยมีแนวทางหลักที่สำคัญ ได้แก่
• เปลี่ยนจาก “ขออนุญาต” เป็น “แจ้งให้ทราบ” เพื่อให้กระบวนการติดตั้งเร็วขึ้น โดยหน่วยงานรัฐไม่มีอำนาจพิจารณาใบอนุญาตย้อนหลัง
• สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน เช่น ลดหย่อนภาษี และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
• จัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ สำหรับให้คำปรึกษาและสนับสนุนภาคประชาชนและเอกชน
• วางมาตรฐานกลาง เพื่อให้การติดตั้งเป็นไปอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้
• ยกร่างกฎหมายกลางเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนในการใช้พลังงานสะอาดในบ้านของตัวเองอย่างแท้จริง
หลังจากขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ ร่างกฎหมายจะถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเดือนมิถุนายน และเข้าสู่กระบวนการในรัฐสภาในเดือนก.ค. 2568
รัฐบาลขอย้ำว่า พลังงานแสงอาทิตย์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่คือพลังของประชาชนทุกคน ที่จะช่วยลดภาระค่าไฟ เพิ่มความมั่นคงในชีวิต และสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม
“รัฐบาลขอเชิญชวน พี่น้องประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ด้วยการร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ www.law.go.th ภายในวันที่ 30 พ.ค. 68 เพราะทุกเสียงของประชาชนในวันนี้ คือแรงผลักดันสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรมทางพลังงานได้จริง” น.ส.ศศิกานต์ กล่าว