ทุกเวลามีค่าและมีความหมาย

ทุกเวลามีค่าและมีความหมาย
คอลัมน์ 'คิดได้-ทำได้' โดย วิฑูรย์’โชคดี

เราทุกคนต่างรู้ดีว่า “เวลา” เป็นของที่มีค่าที่สุดและมีอยู่อย่างจำกัดด้วย  เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เราก็จะไม่มีทางได้ใช้เวลานั้นๆ อีกเลย

แต่จะมีสักกี่คน ที่ใช้ “เวลา” อย่างมีค่าและมีความหมายสมกับที่รู้ว่าเวลามีความสำคัญยิ่ง

“การบริหารจัดการเวลา” จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในทุกยุคทุกสมัย

การบริหารจัดการเวลา (Time Management) หมายถึง การใช้ การควบคุม และการจัดการเวลาของเรา เพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์สูงสุด เป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย  เพื่อจะทำงานได้อย่างเต็มที่ให้บรรลุเป้าหมายและสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพื่อให้คุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขมากขึ้น

ผู้คนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้  ล้วนแต่มีประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาเรื่องมีเวลาไม่พอและมีปัญหาในการใช้เวลากันทั้งนั้น ทุกคนล้วนแต่ต้องหยุดและครุ่นคิดบ่อยครั้งเพื่อทบทวนถึง “รูปแบบการใช้เวลา” ในชีวิตของตนเองอย่างละเอียด และหาวิธีต่างๆ เพื่อใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย “การบริหารจัดการเวลา”

 ดังนั้น หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของคนดังก็คือ การใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้ชีวิตอย่างรอบคอบมีคุณค่าจนกลายเป็นนิสัยติดตัว  โดยการใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีสติด้วยการวางแผนล่วงหน้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งเรื่องของการงานและชีวิตส่วนตัว

“การบริหารจัดการเวลา” จึงเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เราสามารถเชื่อมโยง “การทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบประจำวัน” ให้เข้ากับ “ความสุขส่วนตัวและความก้าวหน้าในชีวิต” ได้โดยตรง

การบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้น  เราจะต้องมองเห็นเป้า

หมายหรือภาพแห่งความสำเร็จได้ชัดเจนก่อน เราจึงจะสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นเหตุเป็นผล  สามารถเพิ่มอิสระทางความคิด (ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์แทนที่จะทำงานตามหน้าที่อย่างเดียว)  เอาชนะความเครียด ทำให้เรามีเวลาว่างเพิ่มขึ้น  (มีเวลาให้กับครอบครัวเพื่อนฝูง การออกกำลังกาย และเวลาสำหรับตัวเองมากขึ้น)  สามารถเพิ่มคุณค่าและความหมายของชีวิตด้วยการกำหนดทิศทางของตนเองให้ไปสู่เป้าหมายได้ตามลำดับก่อนหลังและเป็นระบบ รวมทั้งมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย

พูดง่ายๆ ว่า  เราจะต้องรู้ก่อนว่า ต้องการผลลัพธ์อะไรบ้าง ต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร เราจึงจะรู้ว่าต้องทำอะไรบ้างจึงจะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ (ภายในวันไหนเดือนไหน)  เราจะได้ไม่เสียเวลากับเรื่องที่อยู่นอกแผน หรือเรื่องที่ทำให้หลงทาง

  เราจึงต้องหมั่นถามตัวเองว่า  แต่ละวัน เราใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง เราได้วางแผนการใช้เวลาหรือไม่ หรือปล่อยให้มันผ่านไปวันๆ  เราจะต้องทบทวนตัวเองว่า ในอนาคต เราตั้งใจจะใช้เวลากับกิจกรรมใดบ้าง (ตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง) เราจะใช้เวลาให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง เราจะต้องตัดทอนเรื่องที่ทำให้เสียเวลาเปล่าๆ ออกไปได้อย่างไร เป็นต้น

  และที่สำคัญก็คือ เราจะต้องจ้องจับและกำจัดตัวการที่ “ขโมย” เวลาของเราไปให้ได้ เพราะ “ส่วนหนึ่งของเวลาที่เรามีอยู่ถูกขโมยไป (จากตัวเราเอง จากคนรอบข้าง จากภารกิจนอกแผน) อีกส่วนถูกกลืนหายไป (จากการนั่งเฉยๆ เหม่อลอย เดินทอดน่องไร้จุดหมาย) และส่วนที่เหลือ เราก็เสียมันไปแบบไม่รู้ตัว” (เพลินกับการอ่านไลน์ ดูคลิปที่ไร้สาระ)

               บ่อยครั้งที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังหรือวางแผนไว้ เพราะมีอะไรมาขัดจังหวะหรือรบกวน บางทีเราก็เป็นต้นเหตุของสิ่งรบกวนนั้นเอง แต่บางทีก็เป็นเพราะคนอื่นๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา

บ่อยครั้งที่เราไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของเวลา เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่า “เวลาที่ถูกรบกวน” มีอะไรบ้าง และบ่อยครั้งการไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนก็ทำให้เราไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย

               ดังนั้น เพื่อที่จะใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า เรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำก็คือ ต้องวิเคราะห์ให้ได้ก่อนว่า สิ่งที่ขโมยเวลาของเราไปอยู่ที่ไหน กิจกรรมหรือสถานการณ์ใดหรือใครที่เบียดบังเอาเวลาอันมีค่าของเราไป  โดยไม่ให้ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าใดๆ กลับคืนมาเลย รวมถึงการต้องรู้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ทำให้เรารู้สึกไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป

               เมื่อเราเอาเวลาที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาได้ เวลาของเราก็จะมีเหลือมากขึ้น เพื่อใช้กับการอื่นๆ ที่สำคัญกว่า

               เรื่องที่ต้องเน้นย้ำในวันนี้ ก็คือ เวลาเป็นของมีค่าที่เราจำเป็นจะต้อง “บริหารจัดการ” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมๆ กับการรู้จักตัดทอน “เรื่องไร้สาระ” ที่ขโมยเวลาเราไปด้วยการปฏิเสธให้เป็น

               ทั้งหมดทั้งปวงในเรื่องของ “การบริหารจัดการเวลา” ได้ดีเพียงใดนั้น บ่อยครั้งอาจขึ้นอยู่กับ “นิสัยและบุคลิคภาพส่วนบุคคล” เป็นสำคัญด้วย หลายคนบอกว่าต้องเร็ว หลายคนบอกช้าหน่อยได้ หลายคนเต้นตลอด หลายคนบอกว่าจะรีบไปไหน ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม หลายคนปล่อยวาง หลายคนยึดแนวคิด Slow life หลายคนยึดติด Comfort Zone เป็นต้น  ดังนั้นวิธีการบริหารจัดการเวลาของแต่ละคน จึงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองและเป้าหมายชีวิตของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน

               แต่ที่สำคัญที่สุด สำหรับเราส่วนใหญ่แล้ว เป้าหมายก็คือ “คุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข” เราจึงต้องบริหารจัดการเวลาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว

ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างมีเวลาจำกัด  เราจึงต้องใช้เวลาอย่างมีค่าและมีความหมายให้มากที่สุด พร้อมๆ กับสำนึกของการรู้จัก “แบ่งปัน” และ “ช่วยเหลือ” ผู้ด้อยโอกาสด้วย ครับผม !

 

TAGS: #คิดได้-ทำได้ #วิฑูรย์’โชคดี