เรืองไกร  จี้ ป.ป.ช. ชง ศาลฎีกา วินิจฉัย 44 ส.ส.ก้าวไกล เข้าชื่อยื่นแก้ ม.112  ฝ่าฝืนจริยธรรม หรือไม่  

เรืองไกร  จี้ ป.ป.ช. ชง ศาลฎีกา วินิจฉัย 44 ส.ส.ก้าวไกล เข้าชื่อยื่นแก้ ม.112  ฝ่าฝืนจริยธรรม หรือไม่  
เรืองไกร ขอ ป.ป.ช. รีบเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยว่า 44 ส.ส.ก้าวไกล ฝ่าฝืนจริยธรรม หรือไม่ ปมเข้าชื่อยื่นแก้ ม.112 

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  เผย วันนี้(8 ส.ค.) ตนได้ส่งหนังสือ ด่วนที่สุด ทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ป.ป.ช. รีบดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจด้วยการขอคัดสำเนาคำวินิจฉัยและสรรพเอกสารในสำนวนคดีทั้งสองจากศาลรัฐธรรมนูญมาถือเป็นพยานหลักฐานในสำนวนไต่สวนของ ป.ป.ช. ตามนัยมาตรา 235 วรรคหนึ่ง ประกอบนัยมาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) และรีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) ต่อไปว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า ในหนังสือที่ส่ง ป.ป.ช. มีข้อเท็จจริงที่ยุติกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

“ตามที่ ข้าพเจ้า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่อยู่ข้างต้น ได้ส่งหนังสือตามที่อ้างถึง 1. และ 2. ถึง ป.ป.ช. เพื่อให้นำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 มาตรวจสอบว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ ดังความควรแจ้งแล้วนั้น
         
ตามข่าวศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลโดยใช้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มาเป็นสาระสำคัญด้วย ซึ่งได้วินิจฉัยไว้ส่วนหนึ่งว่า “พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องที่เสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ...” ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 ในคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ดังกล่าวคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย 

แต่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 133 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติว่า การเสนอร่างพระราชบัญญัติจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมกันเข้าชื่อไม่น้อยกว่ายี่สิบคน ดังนั้น การร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ดังกล่าว จึงมิใช่การกระทำโดยลำพังเฉพาะตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละคนแต่อย่างใด การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 44 คน ที่ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว กรณี จึงควรต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรฐานทางจริยธรรมในคราวเดียวกันไปพร้อม ๆ กัน

ดังนั้น การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ... ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันองค์กรอิสระ ด้วย ตามนัยมาตรา 211 วรรคสี่ กรณีการร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ...  นั้น จึงเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้

ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคสาม ยังระบุไว่ส่วนหนึ่งว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง” และ ป.ป.ช. ต้องทราบดีว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวผูกพัน ป.ป.ช. และใช้ได้ในคดีทั้งปวงที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช. ด้วย กรณี จึงมีเหตุอันควรขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจด้วยการรีบส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) ต่อไปว่า กรณีข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติแล้วในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 วันที่ 31 มกราคม 2567 และในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 จะเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ 

เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 บัญญัติว่า การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน... และมาตรา 76 บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลให้มีผลในวันอ่าน ดังนั้น โดยผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 และตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ซึ่งใช้ระบบไต่สวนและมีผลในวันอ่าน ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว ย่อมเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพัน ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช. หาจำต้องไต่สวนข้อเท็จจริงใหม่แต่อย่างใด” 
 

TAGS: #ก้าวไกล #112 #เรืองไกร