โดย...สมาน สุดโต
ใกล้วันเข้าพรรษา ปี 2568 เข้ามาแล้ว จึงขอเล่าตำนานการบวชของชาวพุทธที่มักจัดก่อนเข้าพรรษาเสมอ เพราะแต่ก่อนชายที่มีอายุครบบวชจะบวชเพื่อเอาพรรษา
การบวชพระในพุทธศาสนามีมาแต่ครั้งพุทธกาล แบ่งได้ 3 วิธี
1) พระพุุทธเจ้าบวชให้เองเรียกว่า เอหิ ภิกขุุอุปสัมปทา
2) พระสาวก(รูปเดียว)บวชให้ เรียกว่า ติสรณคณูปสัมปทา
3) คณะพระสงฆ์ (ตั้งแต่ 5 รูป-20 รูป)บวชให้ เรียกว่า ญัตติจุตตถกรรมอุปสัมปทา
สำหรับ 2 พิธีแรกบวชโดยบุคคล และยกเลิกตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คงเหลือแต่ พิธีที่ 3 ที่บวชโดยคณะสงฆ์ และปฏิบัติเรื่อยมาถึงปัจจุบัน
ความเป็นมาของการบวชนั้นเริ่มมีตั้งแต่ครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้วแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ให้รู้ตาม แม้ว่าตอนแรกตรัสรู้พระองค์จะไม่แสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเพราะตระหนักว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นลึกซึ้งยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ ต่อมาจึงได้นิมิตว่าคนเรานั้นมีสติปัญญาไม่เท่ากันเปรียบเหมือนดอกบัว 4 เหล่า ในสุดจึงทรงเลือกแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก โดยเลือกผู้ที่จะรู้ได้เร็ว ผู้คนกลุ่มที่จะรู้ได้เร็วจะเป็นใครไม่ได้นอกจากปัญจวัคคีย์ที่ทรงรู้จักดี จึงเสด็จไปโปรดถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี (ห่างจากพุทธคยาที่ตรัสรู้ ประมาณ 200 กิโลเมตร)
"กลุ่มแรกที่บวชพระ"
เมื่อปัญจวัคคีย์ ได้ฟังธรรม ดวงตาเห็นธรรม จึงขอบวช พระองค์ก็ทรงบวชให้ง่ายๆ เพียงเปล่งวาจาว่า เอหิ ภิกขุ ท่านผู้นั้นก็เป็นภิกษุแล้ว
การบวชแบบนี้ เรียกว่า เอหิ ภิกขุ อุปสัมปทา ผู้ประทานพิธีบวชแบบนี้ทำได้เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น และผู้ได้บวชแบบนี้เรียกว่า เอหิภิกขุ นับเป็นภิกษุรุ่นแรก (ประมาณ 60 รูป) มีอัญญาโกณฑัญญะเป็นปฐม
ต่อมาเมื่อภิกษุชุดแรกออกเผยแพร่พระศาสนาตามสถานที่ต่างๆ โดยเดินทางไม่ซ้ำกัน มีผู้เลื่อมใสต้องการบวชมากขึ้น พระภิกษุหรือสาวก ที่ชักชวนให้เขาศรัทธาต้องพามาเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอประทานการบวชให้
การเดินทางในครั้งนั้น ลำบากและเป็นทุกข์อย่างหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นเช่นนั้น ได้อนุเคราะห์ให้บวชง่ายขึ้น จึงอนุญาตให้สาวกทำการบวชกุลบุตรผู้มีศรัทธาได้ โดยให้ผู้ตัองการบวชปลงผม โกนหนวด ห่มผ้ากาสายะ (ผ้ายัอมฝาด)ประกาศเข้าถึงไตรสรณาคม คือกล่าวว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ และสังฆัง สรณัง คัจฉามิ (ให้ว่า ซ้ำ 3 ครั้ง) ท่านผู้นั้นก็เป็นพระภิกษุ
วิธีนี้เรียกว่า บวชแบบ ติสรณคมณูปสัมปทา นับเป็นแบบที่ 2
เมื่อมีคณะภิกษุสงฆ์ มากขึ้น จึงทรงยกเลิกพิธีทั้ง 2 แบบตอนแรก และมอบการบวชให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ พิธีใหม่ หรือแบบใหม่เรียกว่าญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา ให้พระอุปัชฌาย์ ทำหน้าที่ประธาน ให้พระคู่สวดตรวจสอบคุณสมบัติว่าครบถ้วนไหมแล้วประกาศให้สงฆ์ทราบ หากไม่มีผู้ใดคัดค้านการขอบวชของนาค (ผู้ขอบวช)นั้น พระสงฆ์จึงรับรองให้เข้าหมู่เป็นภิกษุมีศีล 227 ข้อ
ที่ต้องรักษา (นอกจากวัฒนธรรม และระเบียบของแต่ละวัด)
พิธีนี้ใช้ ถึงปัจจุบัน
สรุปว่า การบวชพระ มี 3 พิธี คือ 1เอหิภิกขุอุปสัมปทา 2 ติสรณคมณูอปสัมปทา และ 3 ญัตติจตุตถกรรม อุปสัมปทา
ในปัจจุบันใช่ว่าเลื่อมใสศรัทธาแล้วจะบวชได้เลย ต้องผ่านการตรวจสอบและพิธีการทางราชการ ทำให้การบวชยาก
เอาคร่าวๆ จะบวชได้ต้องเป็นผู้ชาย (ไม่ใช่กะเทย หรือคนลักเพศ) มีอายุ 20 ปี บิดามารดา อนุญาต ไม่เป็นโรคติดต่อที่สังคมรังเกียจ
และต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
ไม่ติดยาเสพติด โดยมีบุคคลที่เชื่อถือได้ลงนามรับรอง
เพราะเงื่อนไขในการคัดกรองมากมายเช่นนี้ ทำให้การบวชเพื่อจำพรรษาของกุลบุตรลดลงอย่างเห็นชัดเจน
ปกติเคยได้รับการ์ดกราบลาอุปสมบท และได้ยินเสียงทำขวัญนาค และแห่นาคผ่านบ้านบ่อยๆก่อนเข้าพรรษา
แต่ปัจจุบัน นานๆ จะได้ยินสักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าในกรุง หรือชนบท
ต่างจากอดีตที่บรรยากาศครึกครื้น
เหมือนมีมหรสพ เพราะมีทั้งดนตรีและเลี้ยงโต๊ะผู้ร่วมงาน
อย่างไรก็ตาม ประเพณีการบวชพระยังคงมีอยู่ แม้จะมีหลักเกณฑ์ทำให้บวชยากก็ตาม เพราะการบวชเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ผู้บวชจัดว่าเป็นศาสนทายาท และเป็นวัฒนธรรม ประเพณีของชาวพุทธที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงคงอยู่นิรันดร์