โดย…สมานสุดโต
ในวาระเฉลิมพระเกียรติครบรอบ 200 ปี นับแต่ผนวชของวชิรญาณภิกขุ หรือพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหามงกุฎพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกกุฏวิทยมหาราช เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2567 นั้น
คณะสงฆ์ธรรมยุตในอารามต่างๆ รวมทั้งอุบาสกอุบาสิกา และพุทธศาสนิกชนได้จัดงานยิ่งใหญ่เพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวที เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 โดยจัดยิทรรศการ การเสวนา และการแสดงมหรสพสมโภช รวมทั้งการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน
ในการนี้ คณะกรรมการคาทอลิก เพื่อศาสนาสัมพันธ์และคริสต์ศาสนจักรสัมพันธ์ ได้ร่วมจัดสวดภาวนาเฉลิมพระเกียรติแด่พระวชิรญาณภิกขุเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ด้วย เพราะวัดสมอรายที่ประทับพระวชิรญาณภิกขุ กับวัดคอนเซ็ปชั่น ที่มีบาทหลวงปัลเลอกัวซ์เป็นเจ้าอาวาสใกล้ชิดและทั้งสองท่านนับถือเป็นสหายที่สนิทสนมกัน ได้แลกเปลี่ยนความรู้ และวิชาการตลอด
ผู้นำในพิธีทางคริสตศาสนาได้แก่บิชอบ สิริพงษ์ จรัสศรี ประมุขแห่งสังฆมณฑลราชบุรี โดยมีบาทหลวงผู้นำของโรมันคาทอลิก จำนวนหนึ่งพร้อมทั้งสัตบุรุษ ชาวคริสต์ จากวัดคอนเซ็ปชั่น ร่วมสวดภาวนาเฉลิมพระเกียรติ ณ บริเวณพิพิธภัณฑ์มหาราชานุสรณ์ ร 4 ในวัดราชาธิวาส
นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนที่ ศาสนิกแห่งคริสตศาสนา และพุทธศาสนามาสวดภาวนาร่วมกัน จึงเป็นพิธีที่ควรจารึกเป็นประวัติศาสตร์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองศาสนา
ท่านสิริพงษ์ จรัสศรี ประมุขแห่งสังฆมณฑลราชบุรี ได้กล่าวว่า การที่นักปราชญ์ทั้ง 2 ท่านคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 กับ สังฆราชปัลเลอกัวซ์ เป็นมิตรสหายที่สนิทสนมกัน แลกเปลี่ยนความรู้และวิชาการซึ่งกันและกัน เช่นท่านปัลลเลอกัวซ์ ศึกษาภาษาบาลีทางพระพุทธศาสนา ภาษาไทยและขนบธรรเนียมไทย ส่วนพระวชิรญาณภิกขุทรงศึกษาภาษาละตินทางคริสต์ศาสนา รวมทั้งวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ด้วย จัดว่าเป็นความงดงามอันยั่งยืนที่นักปราชญ์ 2 ท่านสร้างไว้
คณะกรรมการสงฆ์แห่งคริสต์ศาสนา จึงขอขอบพระคุณพระเถระ แห่งวัดราชาธิวาส ที่ให้โอกาสแก่คณะสงฆ์จากวัดคอนเซ็ปชันมาสวดภาวนา เฉลิมพระเกียรติ ในวาระครบ 200 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชและ จำพรรษาณวัดราชาธิราชแห่งนี้
ท่านประมุขสังฆมณฑลราชบุรี สิริพงษ์ กล่าว่า การที่นักปราชญ์สองศาสนาเป็นสหายกัน เป็นการสร้างตัวอย่างที่สังคมควรนำไปปฏิบัติ แม้จะเป็นจุดเล็กๆ ที่เกิดในเมืองไทย แต่หากขยายเป็นหลักการในการอยู่ร่วมกัน โลกทั้งโลกจะมีความสงบสุข
ตามประวัติย่อๆนั้น พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงผนวช 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระชนมพรรษา 20 พรรษา ดำรงสถานะเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ในเบื้องต้นประทับวัดมหาธาตุ 3 วัน เพื่อปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ จากนั้นเสด็จมาประทับวัดสมอราย เพื่อทรงปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แต่ผ่านไป เพียง 18 วัน สมเด็จพระบรมชนก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคต จึงผนวชตลอด
พระองค์ในนาม วชิรญาณภิกขุ ทรงมีพระทัยมุ่งมั่นไฝ่ศึกษาในวิปัสสนากรรมฐานแต่เมื่อศึกษาและปฏิบัติ ก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ลึกซึ้ง จึงเสด็จกลับมาวัดมหาธาตุเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมโดยเฉพาะภาษาบาลี
ทรงใช้เวลา 2 ปี ศึกษาบาลีเข้มข้น มีความรู้แตกฉานจนเป็นที่เลื่องลือ
ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 จึงทรงโปรดให้เข้าแปลพระบาลี ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัยต่อหน้าสมเด็จพระราชาคณะและพระเถระทั้งหลาย ความสามารถทางด้านภาษาบาลีปรากฏชัดเจนเมื่อทรงแปลผ่านไปถึง 5 ประโยคแล้วหยุดการแปลไว้แค่นั้น
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพอพระราชหฤาทัยว่าแตกฉานในภาษาบาลี จึงพระราชทานพัดเปรียญ 9 ประโยค ให้ประจำพระองค์ เท่ากับรับรองว่าทรงภูมิ ถึง 9 ประโยค ชั้นสูงสุดภาษาบาลี แม้จะสอบเพียง 5 ประโยคเท่านั้น
พระธรรมกิตติเมธี (เกษม ป.ธ.9 ดร.) อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส และเป็นพระเถระธรรมยุตเพียงรูปเดียวที่แม่กองบาลีสนามหลวง นิมนต์ ให้ไปเป็นกรรมการสอบวิชาแต่งฉันท์ภาษามคธประโยค ป.ธ.8 ทุกปี (รวมทั้งแต่งฉันท์ "วชิรญาณภิกขุวณฺณนาคาถา" เฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 4 ทรงผนวช ครบ 200 ปี ที่มีการเฉลิมฉลองในวันนี้ด้วย) ได้กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพด้านภาษามคธของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าพิสูจน์ได้จากบทสวดมนต์ต่างๆ ที่ คณะสงฆ์ ใช้กันอยู่ เช่นบทสวด ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ล้วนแต่เป็นบทประพันธ์ของพระองค์ทั้งสิ้น และเมื่อก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตในวันมหาปวารณา วันที่ 1 ตุลาคม 2411 นั้น พระองค์ ได้แต่งฉันท์ภาษามคธเพื่อขอขมาสงฆ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่นำไปอ่านถวายพระสงฆ์ที่วัดราชประดิษฐ์ แล้วพระองค์ก็สวรรคตอย่างสงบ มีสติ สิริพระชนมายุ 65 พรรษา
( ทรงผนวช 27 ปี ครองวัดบวรนิเวศ 14 ปี ครองราชสมบัติ 16 ปี 6 เดือน)
ในการเสวนา เฉลิมพระเกียรติ และ นิทรรศการต่างๆ ได้พรรณนาถึง พระเกียรติยศไว้มากมายหลายประเด็น โดยเฉพาะ ความเป็นนักศึกษา ทรงหาความรู้ จากมิชชันนารี ชาวต่างชาติ ที่มาเผยแผ่ คริสตศาสนาในประเทศไทย ที่ส่วนมากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยในประเทศที่ตนถือกำเนิด เช่นฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาเป็นต้น บางท่าน มีดีกรีเป็นถึงนายแพทย์ บางท่านมีดีกรีทางด้านอักษรศาสตร์ภาษาศาสตร์และบางท่าน มีความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์
ดังนั้นวัดสมอราย และวัดบวรนิเวศวิหารเป็นแหล่งชุมนุมของมิชชันนารี เข้าเฝ้า พระวชิรญาณภิกขุ เช่น บาทหลวงปัลเลอกัวซ์แห่งวัดคอนเซ็ปชั่น บาทหลวงท่านนี้ได้รับการสถาปนาเป็นพระสังฆราชเแห่งโรมันคาทอลิกในระยะต่อมา บาทหลวงปัลเลอกัวซ์ ชาวฝนี่งเศส มาไทยเมื่ออายุ 23 ปี และไม่เคยกลับฝรั่งเศสแม้แต่ครั้งเดียว ท่านสร้างงานทางภาษาไว้มาก เช่นใช้เวลา 11ปี แต่งพจนานุกรม 4 ภาษามีชื่อเรียกว่า สัพะ พะจนะ ภาสาไท พิมพ์ครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส และไวยากรณ์ไท เป็นต้น มิชชันนารี ที่สร้างชื่อเสียง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้แก่นายแพทย์แดเนียล บีช บรัดเลย์ ที่ บุกเบิก วิทยาการสมัยใหม่ ทั้งการแพทย์ และการพิมพ์ ให้แก่ประเทศไทย ในสมัยนั้น ได้รับการแต่งตั้งว่าเป็นบิดาแห่งการพิมพ์
อย่างไรก็ตามการทรงผนวช ของวชิรญาณภิกขุ เอื้อประโยชน์ต่อศาสนา สังคมประเทศชาติมาก ทำให้ทรงรอบรู้วิชาการทันสมัยจากโลกตะวันตก ทรง มีอัจฉริยภาพสูง ทางภาษาอังกฤษภาษาละติน สามารถพูด และเขียนภาษาอังกฤษได้ อย่างคล่องแคล่ว การที่ พระองค์คบหาสมาคม กับมิชชันนารีต่างชาตินั้น เท่ากับเปิดโอกาสให้พระองค์ เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อจากต่างประเทศ เพราะมิชชันนารีทั้งหลาย ล้วนแต่จบมาจากวิชาการด้านต่างๆจากมหาวิทยาลัยแล้วนำมาถ่ายทอดให้พระองค์ จึงเท่ากับว่าพระองค์ทรงเป็นนักเรียนนอกโดยไม่ต้องไปเรียนเมืองนอก
ถ้ากล่าวถึงสังฆราชปัลเลอกัวซ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้เกียรติอย่างสูงดั่งมีพระราชดำรัสว่า ท่านสังฆราช เป็นมิตร ที่ดี สนิทสนม และจริงใจของเรา เมื่อสังฆราชปัลเลอกัวซ์มรณภาพ ที่อาสนะวิหารอัสสัมชัญ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้เรือหลวงอัญเชิญศพจากอาสนวิหาร อัสสัมชันมายังวัดคอนเซ็ปชั่นอย่างสมเกียรติยิ่ง
ในการนี้มิชชันนารีถอดแหวนทับทิมจาก นิ้วมือของสังฆราช แล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เพื่อรำลึกถึงไมตรีที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกัน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 บรรดาญาติของสังฆราชปัลเลอกัวซ์ที่ฝรั่งเศส ทำเรื่องขอคืนแหวนนั้จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 อ้างว่าเป็นมรดก แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ เพราะทรงถือว่าเป็นมรดกเช่นกัน ที่ผมนำมาเล่าเป็นเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น จะหาความรู้พิสดารนอกจากอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้อง ต้องไปวัดราชาธิวาส ที่จัดนิทรรศการให้เปิดหูเปิดตา ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2567