'ครม.' พร้อมทำตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน-โครงการกักเก็บน้ำช่วงหน้าแล้ง ลดผลกระทบต่อประชาชน-ภาคอุตสาหกรรม พร้อมทำตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ปี 68
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เสนอ มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2567 ในการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนปีนี้ และการกักเก็บน้ำในฤดูแล้ง เพื่อเตรียมการรับมือและป้องกันได้อย่างทันทีและไม่ให้เกิดภัยและผลกระทบกับประชาชน ทั้งภาคธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมทั้งประเทศ รวมถึงการรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการรักษาระบบนิเวศ
ต่อมานางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ครม. ได้มอบหมายหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยรายงานให้ กนช. ทราบ พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินงานรายงานครม.เพื่อทราบต่อไป อย่างไรก็ดี กนช. รายงานว่า ตามปฏิทินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ให้หน่วยงานนำไปใช้เป็นกรอบในการปฏิบัติงาน สำหรับช่วงฤดูฝน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.และสิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค. (ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.และสิ้นสุด วันที่ 28 ก.พ.ของทุกปี) ประกอบด้วย 3 กิจกรรม คือ 1. ช่วงก่อนฤดูฝน เป็นการเตรียมการและสร้างการรับรู้ 2. ช่วงระหว่างฤดู เป็นการวิเคราะห์ ติดตาม ประเมินสถานการณ์พื้นที่เสี่ยงภัยและการให้ความช่วยเหลือ และ 3. ช่วงสิ้นสุดฤดู เป็นการประเมินผลเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล ซึ่งในช่วงก่อนฤดูกาลของทุกปีจะมีการจัดทำมาตรการรับมือฤดูฝน
นางรัดเกล้า กล่าวต่อว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับทุกภาคส่วนประชุมหารือกำหนดมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 จำนวน 10 มาตรการ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที รวมทั้งได้จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2567 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้งปี 2567/2568 โดยมีสาระสำคัญสรุป ดังนี้
มาตรการที่ 1 - คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง (เดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป)
มาตรการที่ 2 - ทบทวน ปรับปรุง เกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน)
มาตรการที่ 3 - เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร บุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยงและศูนย์อพยพให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน)
มาตรการที่ 4 - ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ (ก่อนฤดูฝน-ตลอดช่วงฤดูฝน)
มาตรการที่ 5 - เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน)
มาตรการที่ 6 - ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย และฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ (ตลอดช่วงฤดูฝน)
มาตรการที่ 7 - เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน (ภายในเดือนพฤษภาคม – พฤศจิกายน 2567)
มาตรการที่ 8 - สร้างความเข้มเข็งเครือข่ายภาคประชาชนในการให้ข้อมูลสถานการณ์ (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน)
มาตรการที่ 9 - การสร้างการรับรู้ ศูนย์บริการข้อมูลสถานการณ์น้ำ และประชาสัมพันธ์ (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน)
มาตรการที่ 10 - ติดตามประเมินผลปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย (ตลอดช่วงฤดูฝน)
"โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูใน ปี 2567 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี 2567/2568" ระยะเวลาดำเนินการ 120 วันนับตั้งแต่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ โดยแบ่งไว้ทั้งหมด 5 กิจกรรม ดังนี้
- การซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์
- การปรับปรุง แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ และกำจัดผักตบชวา
- การขุดลอกคูคลอง
- การเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ และ
- การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อเก็บกักไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง
ทั้งนี้ที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า ตอนนี้ทางรัฐบาลโฟกัสในเรื่องการบริหารจัดการน้ำเพื่อตอบโจทย์ด้านการเกษตร ด้านการปกป้องดูแลระบบนิเวศ และด้านการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม อีกสิ่งสำคัญคือ ตอนนี้นโยบายของรัฐคือ การเชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลกให้มาประกอบธุรกิจในไทย การมีระบบการบริหารจัดการน้ำที่ดีนั้น จะทำให้มีน้ำเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ วันนี้ ครม. มีมติรับทราบแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เสนออีกด้วย ซึ่ง แผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวมีผลสัมฤทธิ์ที่เป็นเป้าหมาย ของแผนปฏิบัติฯ คือการเพิ่มความจุกักเก็บน้ำ 1,544.86 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีพื้นที่รับประโยชน์ 7.5 ล้านไร่ และมีประชาชนได้รับประโยชน์ 5,623,955 ครัวเรือน รวมถึงมีพื้นที่ได้รับการป้องกัน 5.97 ล้านไร่ และมีเขื่อนป้องกันตลิ่งความยาว 552,817 เมตร โดยจะใช้งบประมาณทั้งประเทศ จำนวน 440,431.2 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568