ปมร้อนทิ้งกากอุตสาหกรรมส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมต่อระบบการบริหารจัดการ เสนอปรับโหมดตรวจสอบเข้มข้นพุ่งเป้าเฉพาะกากอันตรายปีละ 3 ล้านตัน
ข่าวการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ข่าวโรงงานลักลอบเก็บกากไฟไหม้ที่ยังเป็นข้อกังขาว่าเป็นอุบัติเหตุหรือการลอบวางเพลิง ข่าวการรั่วไหลของกากอุตสาหกรรมลงแหล่งน้ำทั้งใต้ดินและบนดิน ข่าวผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนอันเนื่องมาจากการสารพิษ ฯลฯ ข่าวต่างๆเหล่านี้นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทั้งทางด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความถี่ที่เกิดขึ้น
คำถามที่เกิดขึ้นคือเกิดอะไรกับการจัดการกากอุตสาหกรรมในประเทศไทย ทั้งๆที่ภาครัฐเข้มงวดในการออกกฏหมายที่มีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น การอนุญาตประกอบกิจการโรงงานยุ่งยากขึ้น และไม่ต้องพูดถึงการพิจารณาการอนุญาตนำกากออกนอกโรงงานที่ยากขึ้นและใช้เวลาในการพิจารณายาวนานขึ้น แต่การลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมก็ยังเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เราแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรมมาถูกทางแล้วหรือ
เราลองมาตั้งคำถามง่ายๆดูว่าทำไมถึงมีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม คำตอบก็คงง่ายๆเช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายในการลักลอบทิ้งถูกกว่าการบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลที่ถูกวิธีเป็นอย่างมาก
คำถามต่อมาคือใครน่าจะเป็นคนลักลอบทิ้งกาก เราสามารถจะระบุให้แคบลงได้ไหมว่าผู้ลักลอบน่าจะ เป็นใครและมีลักษณะเช่นไร
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้เราต้องเห็นภาพกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมเสียก่อน
กลุ่มที่หนึ่ง : โรงงานทั้งหมดในประเทศไทยที่เป็นผู้ผลิตกากอุตสาหกรรม กลุ่มนี้ เราจะเรียกว่า’ผู้ก่อกำเนิดกากหรือ WG ‘ โรงงานในกลุ่มนี้มีประมาณ 70,000 โรงงาน
กลุ่มที่สอง: ‘กลุ่มผู้ขนส่ง’ที่นำกากอุตสาหกรรมจากกลุ่มที่หนึ่งไปส่งยังกลุ่มที่สามกลุ่มนี้เราเรียกว่ากลุ่ม’ผู้ขนส่งกากอุตสาหกรรมหรือWT’
กลุ่มที่สาม : โรงงาน’ผู้รับบำบัดกำจัดและรีไซเคิลกาก’อุตสาหกรรม กลุ่มนี้เราจะเรียกว่ากลุ่ม’ผู้รับบำบัดหรือWP ‘ โรงงานในกลุ่มนี้มีประมาณ 3000 โรงงาน
กลุ่มที่สี่ : กลุ่มงานภาครัฐ(กระทรวงอุตสาหกรรม)ที่กำกับดูแลการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมหรือWR
ในการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กลุ่มที่หนึ่ง(WG)คือผู้สร้างกากอุตสาหกรรมขึ้นมา กากฯเหล่านี้ตามกฎหมายแล้ว จะต้องถูกส่งไปบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลยังกลุ่มที่สาม(WP)โดยมีกลุ่มที่สอง(WT)เป็นผู้ขนส่ง และมีกลุ่มที่สี่(WR) เป็นผู้กำกับดูแล
ในการดำเนินการ กลุ่มที่หนึ่ง(WG)จะต้องดูว่ากากอุตสาหกรรมของตัวเองที่เกิดขึ้น จะต้องส่งไปบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลที่โรงงานใด(กลุ่มที่สาม) เมื่อโรงงานในกลุ่มที่หนึ่ง(WG)ตกลงจะนำกากไปบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลกับโรงบำบัดในกลุ่มที่สาม(WP))แล้ว กลุ่มที่หนึ่ง(WG)ก็จะต้องยื่นขออนุญาตนำกากออกนอกโรงงาน(กอ.1)ไปยังภาครัฐ(กลุ่มที่สี่หรือ WR) เมื่อภาครัฐหรือกลุ่มที่สี่อนุญาตแล้วโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากหรือกลุ่มที่หนึ่ง(WG)จึงจะสามารถนำกากออกนอกโรงงานได้ โดยมีกลุ่มที่สองหรือรถขนส่ง(WT)ขนส่งไปบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลที่โรงงานในกลุ่มที่สาม(WP)ต่อไป
จะเห็นได้ว่าโอกาสที่กากฯจะรั่วไหลออกนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบทิ้งหรือทำการบำบัดกำจัดรีไซเคิลไม่ถูกวิธี เกิดได้ตั้งแต่การดำเนินการในกลุ่มที่หนึ่งคือกลุ่มที่หนึ่งเมื่อมีกากฯเกิดขึ้น บางโรงงานก็จะไม่ยื่นขออนุญาตนำกากออกนอกโรงงาน(กอ.1) แต่อาจนำไปลักลอบทิ้งหรือไปบำบัดกำจัดไม่ถูกวิธี
ส่วนกลุ่มที่สองเมื่อได้รับการว่าจ้าง ผู้ขนส่ง(WT)บางคนก็ไม่ได้นำกากไปส่งบำบัดฯในโรงบำบัดของกลุ่มที่สาม(WT) แต่อาจนำไปทิ้งตามสถานที่ต่างๆดังเป็นข่าวที่เห็นอยู่ สำหรับกลุ่มที่สาม(WP)คือโรงงานรับบำบัดเมื่อรับกากอุตสาหกรรมเข้ามาในโรงงานแล้วก็อาจจะลดต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยลักลอบนำกากไปทิ้งหรือทำการบำบัดฯแบบไม่ถูกวิธี
ในขณะที่ กลุ่มที่สี่(WR)ก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงพยามแก้ไขการลักลอบทิ้งหรือการบำบัดฯแบบผิดกฎหมายโดยการออกกฏหมายให้เข้มงวดขึ้น มีอัตราโทษสูงขึ้น ทั้งค่าปรับและเพิ่มโทษจำคุก แต่ผลที่เกิดขึ้น ก็ยังมีข่าวการลักลอบทิ้งกากหรือนำไปบำบัดฯแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพิ่มขึ้นทุกวัน
ดังนั้นเราคงจะต้องมาช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรให้การลักลอบทิ้งกากฯหรือการจัดการกากฯแบบไม่ถูกวิธีเกิดขึ้นน้อยลง ทำอย่างไรให้การลักลอบทิ้งกากฯ ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและต่อภาคประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด
คงจะต้องมาดูกันที่ภาครัฐ(กระทรวงอุตสาหกรรม)เป็นหลัก
การที่ภาครัฐพยายามปรับแก้กฎหมายให้มีบทลงโทษสูงขึ้นทำให้มีการลักลอบทิ้งกากน้อยลงจริงหรือ ข่าวการลักลอบทิ้งกากที่เพิ่มขึ้นทุกวันคงให้คำตอบชัดอยู่แล้ว ดังนั้นหากเรายังคงใช้วิธีเดิมๆผลก็น่าจะออกมาเหมือนเดิม แต่ถ้าเราจะลองคิดกันใหม่ โดยใช้หลักการที่ว่า’จับปลาตัวใหญ่ก่อน’กล่าวคือ การบริหารจัดการของภาครัฐควรเน้นไปที่การจัดการกากอันตรายเป็นหลัก เพราะกากที่มีผู้ไปลักลอบทิ้งแล้วก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง ก็คือกากอันตราย สัดส่วนของกากไม่อันตรายมีถึง 36 ล้านตันต่อปี
ในขณะที่กากอันตรายมีราว 3 ล้านตันต่อปี หากภาครัฐยกเลิกการขออนุญาตนำกากไม่อันตรายออกจากระบบ โดยให้โรงงานและท้องถิ่นบริหารจัดการกันเอง งานของภาครัฐก็จะลดลงอย่างมาก ภาครัฐเองน่าจะหันมาสนใจเฉพาะกากอันตราย(ปลาตัวใหญ่) ก็เชื่อได้ว่าประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกากฯน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
กากอันตรายที่ลักลอบทิ้งกันอยู่จริงๆแล้วก็ไม่น่าจะมีหลายชนิดเมื่อเทียบกับชนิดกากอุตสาหกรรมที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทย ประเภทกากฯที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและภาคประชาชนจริงๆก็น่าจะมีน้อยชนิดลงอีก ส่วนใหญ่ที่จะมีผลกระทบหลักๆมักจะเป็นประเภทของเหลว เช่นพวกสารอินทรีย์ระเหยง่าย สารไฮโดรคาร์บอน กรดเสื่อมสภาพ ฯลฯ
ตัวอย่างกากชนิดหนึ่งที่มีการลักลอบทิ้งกันอย่างแพร่หลายคือกรดเสื่อมสภาพ ภาครัฐมีข้อมูลอยู่แล้วว่ากรดเสื่อมสภาพ ทั้งหมดในประเทศ น่าจะมีอยู่ประมาณเท่าไหร่กรดพวกนี้ส่งไปโรงงานบำบัดฯที่ไหน จำนวนเท่าไหร่ แทนที่ภาครัฐ จะนำเอาบุคลากรส่วนใหญ่ ไปเสียเวลากับการพิจารณานำกากออกนอกโรงงานทั้งกากอันตรายและไม่อันตราย(กอ.1) ซึ่งมีปริมาณมากมาย
อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาก็ยังมีมาตรฐานไม่เหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ดุลย์พินิจที่ต่างกันออกไป ทำให้ผู้ประกอบการโรงงานบำบัดฯวางแผนในการบริหารจัดการกับโรงงานตัวเองได้ยากขึ้น หากยกเลิกการพิจารณาขออนุญาตกอ.1เฉพาะกากฯไม่อันตราย พิจารณาเฉพาะประเด็นของกากอันตรายและเข้มงวด เฉพาะกับกากอันตรายที่มีการลักลอบทิ้งกัน เชื่อว่าประสิทธิภาพในการควบคุมการลักลอบทิ้งกากฯก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก
นอกจากการยกเลิกการขออนุญาตกากไม่อันตรายและมาให้ความสำคัญเฉพาะกากอันตรายที่มีการลักลอบทิ้งกัน ประเด็นสำคัญต่อมาคือต้องเพิ่มการตรวจสอบโรงงานบำบัดกากฯที่มีการลักลอบทิ้งมากขึ้น เช่นภาครัฐมีข้อมูลอยู่แล้วว่ามีโรงงานบำบัดฯกากอันตรายมีที่ไหนบ้าง ก็จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ การรีไซเคิลของโรงงานนั้นๆว่าทำได้จริงหรือไม่
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบโรงงานรับบำบัดฯ คำถามก็คือเจ้าหน้าที่ตรวจสอบโรงงานเหล่านี้เป็นหรือไม่ การตรวจสอบโรงงานรับบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลกากของเสีย โดยเฉพาะกากของเสียอันตรายต้องใช้ทั้ง ความรู้และประสบการณ์ เจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจสอบโรงงานบางคนอาจมีความรู้ทางด้านทฤษฎีรู้ว่าขบวนการ บำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลควรจะต้องใส่สารเคมีตัวไหนเพื่อทำปฏิกริยากับตัวนี้ แต่ความรู้ทางทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอกับการตรวจสอบโรงงานบำบัดกาก การตรวจสอบโรงงานของเจ้าหน้าที่มักดูจำนวนเครื่องจักร ที่มีอยู่เป็นหลัก ดีขึ้นมาหน่อยจะจับผิดโรงงานเป็นจุดๆไป และใช้ความรู้สึกว่าโรงงานสอาด เรียบร้อยดี แต่แค่นี้ไม่เพียงพอกับการตรวจโรงงานบำบัดกาก การตรวจโรงงานบำบัดกากเจ้าหน้าที่จะต้องตอบให้ได้ว่าสภาพเครื่องจักรและกระบวนการที่โรงงานมีอยู่สามารถบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลกากได้จริง(Performance check) ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ภาครัฐยืนยันได้ไหมว่ามีคนตรวจเรื่องนี้ได้สักกี่คน ถ้ามีน้อยหรือไม่มีเลย จะพัฒนาความรู้หรือสร้างคนพวกนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าแปลกใจ คือ การอนุญาตนำกากออกนอกโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม จะต้องไปยื่นขอกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะที่โรงงานที่อยู่นอกนิคมฯ สามารถยื่นขอที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดได้ ทำไมโรงงานที่อยู่ในนิคมจึงไม่ให้การนิคมฯเป็นผู้ดูแลในการอนุญาต ดังนั้นถ้ากระทรวงอุตสากรรมต้องการจะแก้ปัญหาเรื่องการลักลอบทิ้งกากจริงๆก็น่าจะกระจายอำนาจไปให้การนิคมฯช่วยดูแลด้วย
การแก้ปัญหาในการลักลอบทิ้งกาก อีกทางหนึ่งซึ่งมักไม่ค่อยมีการพูดถึงกัน คือการที่ภาครัฐควรจะหาทางพูดคุยกับโรงงานผู้รับบำบัดอย่างไม่เป็นทางการเพื่อหาข้อมูลว่าโรงงานรายไหนที่รับค่าบำบัดกากในราคาต่ำซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ข้อมูลเหล่านี้โรงงานผู้รับบำบัดกากด้วยกันเองก็พอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรงงานรายไหนเป็นผู้ลักลอบทิ้งรายใหญ่ หากจัดการกับโรงงานเหล่านี้ได้เชื่อว่าปัญหาในการลักลอบทิ้งกากก็น่าจะลดลง
ปัญหาเรื่องการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมนับวันจะเป็นปัญหาใหญ่มากขึ้น ผลกระทบรุนแรงมากขึ้นทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและภาคประชาชน การแก้ปัญหาโดยการเข้มงวดในการออกใบญาติโรงงาน(รง.4)ให้ยากขึ้น การพิจารณาอนุญาตนำกากออกโรงงาน(กอ.1)ยากขึ้น การแก้ไขกฎหมายให้มีโทษรุนแรงมากขึ้น คงไม่ใช่คำตอบหลักในการแก้ไขปัญหา ภาครัฐน่าจะปรับเปลี่ยนแนวความคิดโดยเน้นเฉพาะกากสารพิษที่รุนแรงและมีการลักลอบทิ้งบ่อยๆเพิ่มความรู้ของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบโรงงานบำบัดกำจัดรีไซเคิล โดยเน้นการตรวจสอบ สมรรถภาพของระบบในการบำบัดกำจัดรีไซเคิลPerformance) ว่าทำได้จริงในทางปฏิบัติ เน้นการกระจายอำนาจ เน้นการหาข้อมูลการลักลอบทิ้งอย่างไม่เป็นทางการ หากมีการดำเนินการเหล่านี้อย่างจริงจังเชื่อว่าการลักลอบทิ้งกากในอนาคตจะลดลงอย่างมาก
แต่หากภาครัฐยังไม่สามารถลดปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมอันตรายลงได้ การบริหารจัดการกากไม่ว่าจะเป็นการบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิลก็จะไม่มีทางที่จะพัฒนาขึ้นได้ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงการบำบัดกากก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ผู้ประกอบการก็จะต้องมีการแข่งขันกันเอง หากการลักลอบทิ้งกาก ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่ ผู้ประกอบการที่ดีก็จะแข่งขันไม่ได้ และจะต้องออกจากวงการกากฯไปในที่สุด คงเหลือแต่ผู้ประกอบการสีดำสีเทาที่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันลดปัญหาการลักลอบทิ้งกากฯ เพื่อทำให้ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมของประเทศไทย เป็นไปตามที่ทุกคนคาดหวัง