บุกเมือง "ซัวเถา-กวางเจา" แหล่งบรรพชนคนจีนโพ้นทะเล จากเสื่อผืนหมอนใบสู่เจ้าสัวแสนล้าน
เราได้ยินตำนานที่เป็นเรื่องเล่าจากปากต่อปากมานานว่าบรรดาเจ้าสัวเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเจียรวนนท์ ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของอาณาจักรเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี เจ้าสัวชิน โสภณพนิช ผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ หรือเจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์ และอีกหลายๆ เจ้าสัวแสนล้านของไทย ล้วนเป็นลูกหลานของคนจีนโพ้นทะเลที่ดั้นด้นรอนแรมโล้เรือสำเภามาจากเมืองซัวเถาประเทศจีน โดยมีเพียงสื่อผืนหมอนใบเข้ามาทำงานเป็นกุลีรับจ้างแบกหามทำงานทุกรูปแบบ ก่อนจะเริ่มเก็บหอมรอมริบนำไปเป็นทุนทำการค้าขายจนร่ำรวยกลายต้นตระกูลใหญ่ของเจ้าสัวในปัจจุบัน
คนไทยเราจะถูกปลูกฝังเรื่องที่มาของเจ้าสัวไทยมาแบบนี้ตลอด ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่สงสัยว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? เมื่อวันที่ 21-25 ก.พ.ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมคณะกับ "เหล่าซือ" ประสิทธิ์ ฉกาจธรรม ผู้อำนวยการอาศรมสยาม- จีนวิทยา "พี่แดง" บัญญัติ คำนูณวัฒน์ ที่ปรึกษาคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพีออลล์ และพี่ธานี ลิมปนารมณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพีออลล์ เดินทางไปเยือนกวางเจา-ซัวเถา เยี่ยมบ้านเก่าชาวไทยเชื้อสายจีน เพื่อไปดูท่าเรือซัวเถาในตำนานที่เล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน
ว่าเป็นบ้านเกิดของเจ้าสัวแสนล้านในประเทศไทยให้เห็นด้วยตาตัวเอง
ท่าเรือโบราณจึงลิ้ม
ประสิทธิ์ เล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วการเดินทางของคนจีนมายังสยามหรือประเทศไทยในปัจจุบันมีมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรสุโขทัยของพ่อขุนรามคำแหง เราจึงมีถ้วยชามสังคโลกใช้ในยุคนั้น จากนั้นก็มีการค้ามาต่อเนื่องในสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีหลักฐานชัดเจนในยุคของพระนารายณ์มหาราช เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสินค้าหลักที่จีนต้องการในยุคนั้นคือข้าวสารโดยใช้ท่าเรือโบราณจึงลิ้ม ซึ่งตั้งอยู่ปากแม่น้ำหั่งกัง อำเภอเถ่งไฮ่ นครซัวเถา ซึ่งถูกสร้างขึ้นในยุคราชวงศ์หมิง สมัยจักรพรรดิเจียจิ้ง (ค.ศ.1507-1567)
จากเอกสารประกอบการเดินทาง "เยือน กวางเจา-ซัวเถา เยี่ยมบ้านเก่าชาวไทยเชื้อสายจีน" ของ "อาศรมสยาม- จีนวิทยา" ระบุว่า ค.ศ.1668 ในรัชสมัยจักรพรรดิคังซี (ค.ศ.1654-1722) ท่าเรือจึงลิ้มมีความเจริญรุ่งเรือง โดยอำเภอเถ่งไฮ่ ได้รับการพัฒนาอุตสากรรมด้านการประมง การค้าเกลือและการขนส่ง ประกอบกับการสั่งห้ามเดินเรือที่มี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงได้ผ่อนปรนลง ท่าเรือโบราณจึงลิ้มจึงเริ่มเป็นแหล่งติดต่อค้าขายระหว่างท่าเรือต่างๆ พ่อค้าได้เริ่มระดมทุนต่อเรือและทะยอยออกทะเลเพื่อไปตั้งถิ่นฐาน และทำการค้าในต่างประเทศ และหลังจาสิ้นสุดรัชสมัยคังซี ทางการได้อนุมัติการค้าข้าวกับสยาม ทำให้เกิดการเดินเรือทางทะเลมากขึ้น
เรือหัวแดง
ในรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง (ค.ศ.1711-1799) ราชสำนักอนุญาตให้พ่อค้าไปค้าขายกับสยาม จึงเริ่มมีการพัฒนากองเรือและมุ่งหน้าสู่สยามหัวเรือทาด้วยสีแดง เพราะเชื่อว่าสีแดงจะสามารถนำพาความโชคดีและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ จึงมีเชื่อเรียกว่าเรือหัวแดง ในอดีตเมื่อพูดถึงอำเภอเถ่งไฺฮ่ ผู้คนจะนึกถึง "เรือหัวแดง" ในช่วงกลางราชวงศ์ชิงก่อนที่ซัวเถาจะเป็นเป็นท่าเรือ ชาวแต่จิ๋วมักจะใช้เรือหัวแดงออกจากท่าเรือจึงลิ้มไปยังดินแดนต่างๆ (ท่าเรือจึงลิ้มเป็นท่าเรือดั้งเดิม ตั้งอยู่ปากแม่น้ำหั่งกัง เมืองซัวเถา แต่ไม่ใช่ท่าเรือซัวเถา ที่มีการขยายออกมาในภายหลัง) เรือหัวแดงจึงเป็นสัญญลักษณ์ของคนแต้จิ๋ว เป็นสะพานเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างจีนไปยังภูมิภาคต่างๆ ของโลก และเป็นต้นกำเนิดของเส้นทางสายไหมโบราณทางทะเล
ประเทศไทยคือเป้าหมาย
หลังสิ้นสุดสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (ค.ศ.1856-1860) ต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานเพื่อประกอบธุรกิจพาณิชย์นาวีที่เมืองซัวเถา เศรษฐกิจของเมืองซัวเถาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ชาวแต้จิ๋วโดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ในอำเภอต่างๆ ที่เป็นเขตกสิกรรมยังดำรงชีวิตอย่างยากลำบากเหมือนเดิม คนแต้จิ๋วรุ่นบุกเบิกที่ไปลงหลักปักฐานอยู่ต่างแดนจึงกลาย เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวแต่จิ๋วจำนวนมากเดิ้นรนที่จะลงเรือเพื่อไปทำมาหากินบนแผ่นดินอื่นที่มีอนาคตที่ดีกว่า ซึ่งมีทั้งเวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซียและออสเตรเลีย แต่จากปากต่อปากของชาวจีนที่บอกต่อๆ กันมาว่า ประเทศไทยหรือสยามเป็นอู่ข่าวอู่น้ำ ในน้ำมีปลาในนามีข้าวและมีแผ่นดินที่กว้างใหญ่ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญ
สมัยรัชกาลที่ 4 เลิกโล้สำเภา ใช้เรือกลไฟ
คนแต้จิ๋วระลอกแล้วระลอกเล่าจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปหาแผ่นดินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า ซึ่งในช่วงเวลานั้นเรือสำเภาหัวแดง ที่ท่าเรือโบราณจึงลิ้ม เริ่มลดบทบาทลงเพราะถูกแทนที่ด้วยเรือกลไฟของชาวตะวันตก ซึ่งเดินทางได้สะดวกและปลอดภัยมากกว่า ท่าเรือซัวเถาจึงกลายเป็นประตูในการเข้าออกของชาวแต่จิ๋วรุ่นหลังในการออกแสวงโชคยังต่างแดน ผมจึงสันนิษฐานได้ว่าการอพยพของคนจีนในช่วง 160 ปีที่ผ่านมา หรือราวปี พ.ศ.2400 ซึ่งเป็นปีที่ 76 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นปีที่ 7 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คนจีนจำนวนมากที่อพยพมาเมืองไทย น่าจะโดยสารด้วยเรือกลไฟของชาติตะวันตกมากกว่าการโล้สำเภา
สรุปก็คือ การโล้สำเภามาเมืองไทยของคนจีนตามตำนานที่เล่าขานกันมา ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยากลำบากและต้องเสี่ยงชีวิต เนื่องจาก "เรือหัวแดง" เป็นเรือไม้ลำใหญ่ที่มีพื้นที่จำกัด ขณะที่ผู้โดยสารบนเรืออยู่อย่างแออัด ไม่มีหลังคาให้หลบฝนหลบแดด ใช้พลังงานลมในที่มาปะทะใบเรือขนาดใหญ่เพื่อให้เรือเคลื่อนไปข้างหน้า จังหวะที่ไม่มีลมเรือก็จะลอยลำอยู่กลางทะเล ทุกคนก็ต้องนั่งตากแดดกันไปจนกว่าลมจะมาพัดพาเรือแล่นไปต่อ ขณะเดียวกันหากเกิดพายุกลางทะเล ก็แน่นอนว่าทุกคนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด
การเดินทางจากคำบอกเล่าทุกคนต้องจัดเตรียมอาหารและน้ำดื่มของตัวเองให้เพียงพอกับการรอนแรมนานนับเดือนกว่าจะถึงที่หมาย บ้างก็เจ็บป่วยเสียวชีวิตระหว่างเดินทางบ้างก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนเรือ และก็มีเรือหัวแดงบางลำที่อัปปางลงระหว่างทางไปไม่ถึงที่หมาย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่จีนมีการค้าขายกับไทยตั้งแต่ในยุคสุโขทัยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งมาถึงสมัยของพระบาทสมเด็จจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเริ่มเดินทางเข้ามาด้วยเรือกลไฟของชาวตะวันตก
เตี่ยซัว ถิ่นกำเนิดชาวจีนโพ้นทะเล
ย้อนกลับไปถึงเหตุผลที่คนจีนมีการอพยพครั้งใหญ่ เนื่องจากดินแดนเตี่ยซัวซึ่งประกอบด้วยนครซัวเถา นครแต้จิ๋ว และนครกิ๊กเอี๊ย มีประชากรราว 15 ล้านคนซึ่งนับว่าแออัดทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต นำมาซึ่งการอพยพครั้งใหญ่ 2 ครั้ง ครั้งแรกในราชวงศ์หมิง(ค.ศ.1368-1644) เนื่องจากปัญหาการเมืองและสงครามทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประกอบกับภัยธรรมชาติ ขาดแคลนอาหาร ประชาชนอดอยาก เกิดการค้ามนุษย์ ผู้ประสบภัยในพื้นที่เตี่ยซัวถูกส่งไปทำงานเป็นกุลีหรือจับกังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปอเมริกา โดยเฉพาะหลังจากที่ซัวเถาเปิดเมืองเพื่อค้าขายกับต่างประเทศ จำนวนแรงงานที่ส่งออกไปเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งการอพยพออจากแผ่นดินใหญ่ทางหมาสมุทร เรียกว่า "ลงทะเล" ซึ่งส่วนหนึ่งมาปักหลักอยู่ที่ประเทศไทย
การอพยพครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากที่พื้นที่เตี่ยซัวตกอยู่ในภาวะสงครามช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 ซึ่งมีกาฬโรคระบาด กอปรกับเกิดภัยแล้งผู้คนอดอยาก เส้นทางทะเลถูกกอลทัพญี่ปุ่นปิดกั้น ผู้ประสบภัยจึงอพยพไปทางมณฑลเจียงซี ซึงการอพยพไปเขตภูเขา จึงเรียกว่า "ขึ้นเขา"
หมู่บ้านโบราณบึงมังกร
หมู่บ้านโบราณเหล่งโอ๊วหรือหมู่บ้านโบราณบึงมังกร ตั้งอยู่บริเวณถนนฮู่ตี ตำบลเหล่งโอ๊ว ริมฝั่งแม่น้ำหั่งกัง แม่น้ำเดียวกับท่าเรือโบราณจึงลิ้ม นครแต้จิ๋ว ครอบคลุมพื้นที่ตอนกลางและตอนล่างของมณฑลกวางตุ้ง ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง(ค.ศ.960-1279) และมีความเจริญมากที่สุดสมัยราชวงศ์ชิง(ค.ศ.1616-1912) มีอายุกว่าพันปี
ตัวหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงามตามหลักแผนผังแปดทิศ เนื่องจากถนนกลางหมู่บ้านมีรูปร่างคล้ายกับสันหลังมังกร ทางฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านมีถนน 3 สายและประตูอีก 6 ประตู เรียกว่า "ถนน 3 สาย 6 ซอย" สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์หมิงและชิง แต่ก็ยังหลงเหลือสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ซ่งเอาไว้
ปัจจุบัน หมู่บ้านโบราณบึงมังกรกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีร้านขายสินค้าพื้นเมืองจำนวนมาก
สะพานกว่างจี้ อายุ 853 ปี
ลัดเลาะแม่น้ำหั่งกัง มาถึงสะพานกว่างจี้หรือสะพานเซียงจื่อ ตั้งอยู่ทางประตูทิศตะวันออกของเมืองแต้จิ๋วโบราณ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำหั่งกัง ซึ่งเป็นแม่นน้ำสายสำคัญของเมืองแต้จิ๋ว มีโครงสร้างผสมผสานระหว่างสะพานตอม่อหินและสะพานลอยน้ำสร้างในปี ค.ศ.1171 สมัยราชวงศ์ซ่ง เป็นสะพานเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง 1 ใน 4 แห่งของจีน และเป็น "สะพานแบบเปิด-ปิด" ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ผู้เริ่มสร้างสะพานกว่างจี้ มีนามว่า เจิงวัง เป็นเจ้าเมืองในยุคนั้น ซึ่งเดิมใช้เรือ 86 ลำผูกเชื่อมต่อกันเป็นสะพานตั้งชื่อว่า สะพานคังจี้ ภายหลังจากนั้น 3 ปี สะพานถูกกระแสน้ำพัดเสียหายเกือบทั้งหมด เจ้าเมืองคนใหม่จึงสั่งให้บูรณะในปี ค.ศ.1174 โดยสร้างเป็นตอม่อหินต้นแรกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสะพานลอยน้ำ ซึ่งต่อมาก็มีการบูรณะอย่างต่อเนื่องและได้มีการต่อเติมตอม่อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการบูณะครั้งใหญ่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) โดยสร้างศาลาจีนบนตอม่อแต่ละต้นและตกแต่งตัวสะพานอย่างประณีตงดงาม พร้อมเปลี่ยนชื่อสะพานคังจี้เป็นสะพานกว่างจี้ จวบจนปัจจุบันนับอายุสะพานได้ 853 ปี
กวางเจาเมืองการค้าโบราณพันปี
จากเมืองซัวเถานั่งรถไฟความเร็วปานกลางไปเมืองกวางเจา ระยะทาง 373 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม. นครกวางเจาเป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง มีพื้นที่ประมาณ 7,434 ตร.กม. มีประชากรราว 18 ล้านคน เป็นเมืองท่าสำคัญของจีนใาแต่โบราณมีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น(ประมาณ 200 ปีก่อน ค.ศ.)เป็นเส้นทางการค้าสู่ประเทศต่างๆ แถบมหาสมุทรอินเดีย(รวมทั้งไทย) และแปซิฟิค มีหน่วยงานด้านศุลกากรและหน่วยงานควบคุมดูแลการค้ากับต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ ซึ่งต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่งกวางเจาได้กลายเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของจีน
กวางเจาเป็นเมืองที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลำดับต้นๆ ของจีน เป็นศูนย์กลางการค้า การผลิตและส่งออก ศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การเงินธนาคาร การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี ปัจจุบันเมืองกวางเจาเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้ามากมาย มีระบบรถไฟใต้ดินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การคมนาคมสะดวกสบาย อุดมไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง อาหารรสเลิศ อาคารสุดล้ำทันสมัย และแสงสีเสียงยามค่ำคืน