“พิพัฒน์” โชว์วิสัยทัศน์ในงานสัมมนา “SKYCONOMY” ลั่น! จุดยุทธศาสตร์ไทยได้เปรียบ เตรียมผนึกกำลังรัฐฯ-เอกชน-หน่วยงาน เร่งเครื่องเพิ่มขีดความสามารถ ผลักดันการบินไทย สู่การเป็น Aviation Hub
คุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเปิดงานและปาฐกภถาหัวข้อ “วิสัยทัศน์และบกบาทของประเทศไทยสู่การเป็น Aviation Hub แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ภายในงานสัมมนา “SKYCONOMY: Thailand’s Runways to Aviation Hub – จากสนามบินสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค (Aviation Hub)
ลั่น! ศักยภาพไทย พร้อมก้าวสู่ศูนย์กลางการบิน
ประเทศไทยมีจุดยุทธศาสตร์เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและมีที่ตั้งลักษณะภูมิศาสตร์ได้เปรียบหลายประเทศ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางอาเซียน และเป็นประตูสู่อินโดจีน ลาว กัมพูชา พม่า หรือเวียดนาม ซึ่งหากต้องการเดินทางเชื่อมต่อจากตะวันออกกลางไปยุโรป ต้องบินจากไทยไปแวะที่ยูเออีก่อนจะต่อไปยุโรปได้ หรือถ้าจะบินไปอเมริกาก็ต้องบินจากไทยไปพักที่ญี่ปุ่น
นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้รับการันตีด้านความปลอดภัยจากองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FAA (Federal Aviation Administration) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) รวมทั้งสายการบิน United Airlines ยังกลับมาเดินทางเข้าไทย หลังห่างหายไปตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการโหวตเป็นอันดับ 3 สนามบินที่พัฒนาได้ดีที่สุดของโลก (World's Most Improved Airports) ประจำปี 2025 จากการประกาศผลของ Skytrax รวมถึงสนามบินดอนเมืองติดลำดับที่ 8 สะท้อนได้ถึงมาตรฐานด้านการบินของไทย
ชี้! แนวทางการขับเคลื่อนการบินไทย
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า “ในอดีตสายการบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจแต่วันนี้กระทรวงคมนาคมได้ขายหุ้นบางส่วนออกไป โดยภาครัฐถือหุ้นไม่ถึง 50% ดังนั้นการถือหุ้นใหญ่ของการบินก็ยังเป็นกระทรวงการคลัง ยังถือว่าเป็นสายการบินแห่งชาติ รวมถึงในปัจจุบัน สายการบินไทยได้รับการฟื้นฟูจากโควิด-19 พลิกจากบริษัทที่เป็นหนี้กลับมามีกำไร ที่สำคัญยังมีการสั่งซื้อเครื่องบินฝูงใหม่เป็นเครื่องบินโบอิ้งค์จากอเมริกา 80 ลำ ซึ่งสะท้อนว่า ไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็น Aviation Hub ของภูมิภาคนี้ แต่การจะก้าวเข้าสู่จุดนั้นได้ สนามบินต้องมีความพร้อมในหลากหลายด้าน ทั้งการรองรับการโหลดสินค้า การดูแลผู้โดยสาร และการเชื่อมต่อเครื่องบินไปภูมิภาคต่างๆ”
พร้อมฝากการบ้านถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้เตรียมความพร้อมเพิ่มขีดความสามารถของไทยไปสู่เป้าหมาย Aviation Hub ของภูมิภาค โดยระบุว่า “ปัจจุบันเรามีความพร้อมเรื่องของสนามบิน การดูแลความปลอดภัยและการบริการแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยยังขาดอย่างเดียว คือ โรงซ่อมเครื่องบิน (MRO) ที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้มหาศาลและเพิ่มโอกาสการจ้างงานคนไทยด้านเทคนิค อีกทั้งรัฐบาลคงต้องมีส่วนในเรื่องนี้ หากไทยต้องการเป็น Aviation Hub จริงจัง”
พร้อมย้ำว่า จากกรณีประกาศสำนักพระราชวังไม่ได้บอกให้หยุดกิจกรรมต่าง ๆ เพราะพระองค์ท่านคำนึงถึงทุกคนว่าต้องกินต้องใช้ งานมีกำหนดรายละเอียดไว้แล้วทราบว่าจะเกิดความเสียหาย สามารถดำเนินการได้ ทำในสิ่งที่เหมาะสม
สำหรับในช่วงสี่เดือนนี้ รัฐบาลพยายามจะทำให้ได้มากที่สุด เช่น กรณีเรื่องของการเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งได้มีการปรึกษาหารือกับอีอีซี เพื่อเชื่อมทั้ง 3 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและอู่ตะเภา ให้เกิดความสะดวกมากที่สุด หรือการปรับปรุงการขนส่งสัมภาระให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีมีบริษัทผู้ให้บริการด้านสัมภาระเพียง 2 ราย คือ การบินไทย และ บางกอกแอร์เวย์
โดย AOT กำลังพิจารณาจัดหาผู้ให้บริการสัมภาระรายที่ 3 เข้ามาเพิ่มเติม นั่นคือ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ไทยไปสู่ Aviation Hub ต้องฝากผู้บริหารของการบินไทย พิจารณาเพิ่มช่องทางการบิน ขยายเส้นทาง ถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อรองรับเส้นทางบินที่ขยายตัว รวมถึงการดึงสายการบินเข้ามาในสนามบินรอง เช่น สนามบินเชียงใหม่ สนามบินกระบี่ ซึ่งยังไม่เต็มกำลังการรองรับ สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่