IAA ชี้เป้า SET Index ปิดสิ้นปี 1,313 จุด รับแรงหนุนลดดอกเบี้ยไทย-สหรัฐ โบรกฯแนะจัดพอร์ตลงทุน 5 หุ้นเด่น

IAA ชี้เป้า SET Index ปิดสิ้นปี 1,313 จุด รับแรงหนุนลดดอกเบี้ยไทย-สหรัฐ โบรกฯแนะจัดพอร์ตลงทุน 5 หุ้นเด่น
สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ชี้ Q4/68 ดัชนี SET ปิด 1,313 จุด! คาด GDP ไทยปี 68 โต 2.03% แนะ 'ค้าปลีก-ไฟแนนซ์' โดดเด่น

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2568 โดยสรุปว่า นักวิเคราะห์ปรับประมาณการณ์ดัชนี SET Index ณ ช่วง Q4/68 แกว่งตัวในกรอบ 1,234-1,356 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2568 ที่ 1,313 จุดและสิ้นปี 2569 อยู่ที่ 1,415 จุด จากภาพรวมเศรษฐกิจไทย (GDP) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.03%  จากเดิมที่ 1.87% (ในเดือน ต.ค.68) หลังปัจจัยทางการเมืองไทยมีความชัดเจน ขณะที่ค่าเฉลี่ยของ GDP ปี 2568 อยู่ที่ 1.9% โดยมีสมมติฐานหลักอื่น ๆ เช่น ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีอยู่ที่ 68.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

โดยปัจจัยบวกที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2568 จากผลสำรวจ 100% ชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ เป็นปัจจัยหลัก รองลงมาคือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริการาว (92.59%) และปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ (81.48%) ขณะเดียวกันปัจจัยลบ ที่น่ากังวลที่สุดคือ ปัจจัยด้านการเมืองต่างประเทศ (55.56%) รองลงมาคือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก (51.85%) และปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก (51.85%)

อีกทั้งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กว่า 68% คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ 1.25% จากปัจจุบันที่ 1.50% (ณ สิ้นเดือนก.ย.) และมี 28% ที่มองว่าดอกเบี้ยจะลดลงมาอยู่ที่ 1.00% ส่วนอีก 4% คาดว่าจะคงที่

ด้านคาดการณ์ กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 85.14 บาท ใกล้เคียงกับผลสำรวจครั้งก่อนที่ 85.43 บาท ต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 9.27% และปี 2569 เฉลี่ยไว้ที่ 90.67 บาท

โบรกฯ แนะจัดพอร์ต-ลงทุนต่างประเทศ

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

     o เงินสดและเงินฝากระยะสั้น  8.48%

     o กองทุนตราสารหนี้  20.89%

     o หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย  26.63%

     o หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ  26.59%

     o ทองคำหรือกองทุนทองคำ  9.17%

     o กองทุนอสังหาฯหรือ REIT  7.50%

     o สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin/ตราสารหนี้ระยะสั้น 0.74%

สำหรับการลงทุนต่างประเทศ แนะนำ กองทุนตราสารหนี้โลก/ตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ หรือกลุ่ม AI-Technology และ Selective Asia เช่น จีน, ฮ่องกง, อินเดีย, ญี่ปุ่น รวมถึงมีหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศและทองคำ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (DR DRx) ที่แนะนำตรงกันตั้งแต่ 6 สำนักขึ้นไป มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ) ได้แก่ BABA80 ,GOLD19 ,MSFT80 และ XIAOMI80

สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดค้าปลีก ไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า ธุรกิจท่องเที่ยว และการแพทย์ ในขณะเดีนวกันให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจส่งออก และปิโตรเคมี

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

1. ADVANC แนวโน้มผลประกอบการเติบโต YoY ทุกไตรมาส จากการแข่งขันที่ลดลง และการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การเข้ามาของ Data Center ขนาดใหญ่ และ Virtual Bank จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาว

2. CPALL ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้ SET ESG Rating AAA

3. CPAXT การเติบโตของกำไรได้แรงหนุนจาก synergies ระหว่าง Makro และ Lotus’s ช่วยลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน และทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น

4. MTC มองว่าสินเชื่อโตเด่นกว่ากลุ่มมาก และน่าจะเร่งตัวขึ้นใน 2H68 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเข้าสู่ High season 

5. PTTEP  มองว่าปริมาณผลิตเพิ่มต่อเนื่อง ปันผลสูง

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นบางบริษัทในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ราคาเกินพื้นฐาน และหุ้นกลุ่มธนาคาร จากส่วนต่างดอกเบี้ยโดนกดดัน

แนะภาครัฐฯ เร่งออก 3 มาตรการ

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ยังได้เสนอแนะนโยบายต่อรัฐบาลเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและยาว ดังนี้

  1. มาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ : กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน, ปล่อยสินเชื่อแบงก์, มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว, เน้นการเติบโตของกำไร บจ. ผ่านสิทธิประโยชน์ Jump+
  2. การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน : ทั้งด้านรถไฟฟ้า, Data Center ,การพัฒนาอุตสาหกรรม New S-Curveและเทคโนโลยี
  3. นโยบายช่วยเหลือภาคประชาชน : มาตรการลดหย่อนภาษี, กระตุ้นการบริโภคผ่านโครงการ ช้อปดีมีคืน และสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อยกระดับแรงงานสู่ Skill Labor

ด้านนางสาวชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวย การฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ US Government shutdown คาดว่าไม่กระทบตลาดทุนไทยมากนัก สะท้อนจากอดีตช่วงที่เกิดเหตุการณ์เดียวกัน S&P500 ปรับตัวขึ้นด้วยซ้ำ รวมถึงคาดดอลลาร์มีโอกาสกลับมาแข็งค่า ตอบรับทิศทางนโยบายปรับลดดอกเบี้ย และ FED ยังคงระมัดระวังทิศทางเงินเฟ้อ จึงส่งผลให้เงินบาทไม่แข็งค่าเร็วและอาจอ่อนค่าลงในระดับ 33-33.5 บาท/ดอลลาร์ 

นอกจากนี้ประเมินราคาทองคำในระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะ 3,900 $/Oz ส่วนระยะยาวมองที่ระดับ 4,000-4,200 $/Oz แนะนำกลยุทธ์รอจังหวะเข้าลงทุนช่วงย่อตัวลงระดับ 3,600-3,700 $/Oz

TAGS: #IAA #สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน #FED #สหรัฐฯ #GovernmentShutdown #หุ้น #พอร์ตหุ้น #การลงทุน #ทองคำ #หุ้นต่างประเทศ #กองทุน