ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยเงินบาทอ่อนค่าสุดรอบเกือบ 1 เดือน SET Index ปรับตัวลงจากแรงขายนักลงทุนต่างชาติ-สถาบันในประเทศ หลังกังวลปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของบจ.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือนที่35.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์เงินบาทยังคงอ่อนค่าสอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย
โดยเงินบาทเผชิญแรงขายในช่วงต้นสัปดาห์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯที่มีแรงหนุนบางส่วนต่อเนื่องจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดีเงินบาทดีดตัวกลับมาช่วงสั้นๆ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐฯย่อตัวลงในช่วงก่อนการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับไปอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์สอดคล้องกับสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของต่างชาติ ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ
ขณะที่แรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วนหลังข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด สะท้อนว่าโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนมี.ค. ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
ในวันศุกร์ที่ 12 ม.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์ฯเทียบกับ 34.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (5 ม.ค. 2567)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 8-12 ม.ค. 2567นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 4,238 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 4,380 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 3,460 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 920 ล้านบาท)
สัปดาห์ถัดไป (15-19 ม.ค. 67)
ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.70-35.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ และงาน BOT Policy Briefing
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนม.ค. 2567 ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. 2566 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. 2566 ของยูโรโซนและอังกฤษ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจจีน อาทิ จีดีพีไตรมาส 4/66 และเครื่องชี้เศรษฐกิจอื่นๆ ในเดือนธ.ค. 2566 ด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงเกือบตลอดสัปดาห์ ทั้งนี้หุ้นไทยทยอยปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ
โดยรายงานข่าวเกี่ยวกับการขอเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้ของบจ. บางแห่งกดดันบรรยากาศการลงทุนในภาพรวม ส่งผลให้มีแรงขายหุ้นในหลายอุตสาหกรรม
นอกจากนี้กระแสข่าวที่วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ ปรับลดน้ำหนัก (Downgrade) หุ้นกลุ่มแบงก์ของไทยยังเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากดดันหุ้นกลุ่มแบงก์เพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ โดยมีแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่มแบงก์ก่อนประกาศ งบไตรมาส 4/66 เข้ามาหนุน
ในวันศุกร์ที่ 12 ม.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,413.53 จุด ลดลง 1.01% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 41,215.73 ล้านบาท ลดลง 11.99% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.26% มาปิดที่ระดับ 420.57 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (15-19 ม.ค.)
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,400 และ 1,390 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,435 และ 1,455 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และการทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ของบจ. ไทย โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซนละอังกฤษ รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/66 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนธ.ค. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร