ตลาดเงิน/ทุน 13-17 พ.ย. บาทกลับมาแข็ง-หุ้นดีดขึ้น หลังดอกเบี้ยขาขึ้นของเฟด อาจสิ้นสุดแล้ว

ตลาดเงิน/ทุน 13-17 พ.ย.  บาทกลับมาแข็ง-หุ้นดีดขึ้น  หลังดอกเบี้ยขาขึ้นของเฟด อาจสิ้นสุดแล้ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่น่าผิดหวัง SET Index กลับมาเหนือ 1,400 จุด คาดวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นสหรัฐฯ อาจจบลงแล้ว

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

 

เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 35.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประกอบกับมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดีเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์สอดคล้องกับเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย

 

ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงเทขายอย่างหนัก หลัง CPI ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดมาก

 

นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกก็เป็นแรงหนุนเพิ่มเติมของเงินบาทด้วยเช่นกัน

 

เงินบาทยังคงมีทิศทางแข็งค่าจนถึงช่วงปลายสัปดาห์ และทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 35.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ อย่างหนัก

 

หลังจากตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และดัชนีราคานำเข้าเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด และกระตุ้นให้ตลาดมีความเชื่อมากขึ้นว่า เฟดอาจจบรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว

 

ในวันศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 35.89 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (10 พ.ย.)

 

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 13-17 พ.ย. 2566 นั้น

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,985 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 3,225 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 3,220 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 5 ล้านบาท)

 

สัปดาห์ถัดไป (20-24 พ.ย.)

 

ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.80-35.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 และตัวเลขการส่งออกเดือนต.ค. ของไทย

 

สัญญาณเงินทุนต่างชาติ และสถานการณ์ของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่

31 ต.ค.-1 พ.ย.

 

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามการประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ของธนาคารกลางจีน รวมถึงดัชนี PMI ขั้นต้นเดือนพ.ย. ของยูโรโซนอังกฤษ และสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

 

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

ดัชนีหุ้นไทยกลับมายืนเหนือ 1,400 จุด หลังนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ

 

ทั้งนี้หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบในช่วงแรก ก่อนจะดีดตัวขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ตาม ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ตลาดประเมินว่า โอกาสที่จะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดน้อยลง

 

อย่างไรก็ดี หุ้นไทยกลับมาแกว่งตัวในกรอบแคบอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ โดยจุดสนใจของตลาดอยู่ที่ประเด็นการขายชอร์ตที่ไม่มีการยืมหลักทรัพย์ (Naked Short Selling) ซึ่งกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนราย

ย่อย

 

อนึ่ง สัปดาห์นี้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวลงสวนทางภาพรวมจากแรงขายหุ้นธนาคารรายใหญ่แห่งหนึ่ง

 

ในวันศุกร์ที่ 17 พ.ย. ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,415.78 จุด เพิ่มขึ้น 1.89% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 49,231.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.28% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 2.20% มาปิดที่ระดับ 402.44 จุด

 

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (20-24 พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,405 และ 1,390 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,430 และ 1,455 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม

 

ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงความกังวลของนักลงทุนรายย่อยเกี่ยวกับ Naked Short Selling ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ

 

ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค. ดัชนี PMI เดือนพ.ย. (เบื้องต้น) บันทึกการประชุมเฟด รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

 

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนพ.ย. (เบื้องต้น) ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนการกำหนดอัตรดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนพ.ย. ของจีน