SCB EIC คาดเศรษฐกิจไทยยังโตต่อเนื่องส่งออกเสี่ยงชะลอตัว ชี้ท่องเที่ยวแรงขับเคลื่อนสำคัญหลังจีนเปิดประเทศ ขณะที่การบริโภคเริ่มดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แม้การส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่จะได้ปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่มีโอกาสแตะ 4.8 ล้านคนหลังจีนยกเลิกมาตรการ ZERO-COVID เร็วกว่าคาด
รวมถึงนักท่องเที่ยวชาติอื่นที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยปรับเพิ่มประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 เป็น 30 ล้านคน ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ประเทศรวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นกลับมาที่ระดับก่อนเกิดโควิด -19 ได้ในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดแรงงานไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคบริการ
ทั้งนี้ความต้องการท่องเที่ยวภายในประเทศมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ที่จะเริ่มใช้ 7 มีนาคม – 30 เมษยน 2566 ที่คาดว่าจะเกิดเงินหมุนเวียนในระบบ 12,539 ล้านบาทโดยค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวของคนไทยเฉลี่ย อยู่ที่ 3,200 บาทต่อคนต่อทริป แต่ยังต่ำกว่าปี 2562 ที่มีการใช้จ่ายเฉลี่ย 4,700 บาทต่อคนต่อทริป
ด้านการบริโภคในประเทศจากโครงการช้อปดีมีคืน (1 ม.ค - 15 ก.พ ) ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี ส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี คาดจะเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 56,000 ล้านบาท
ขณะที่การส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก กดดันการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชน
อย่างไรก็ดี คาดว่า ในระยะต่อไปการส่งออกไทยจะได้รับอานิสงส์จากการยกเลิก ZERO-COVID ในจีนและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยที่ลดลงมาก สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยเริ่มชะลอลงแล้วในเดือนมกราคม แต่คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับลดลงไม่เร็วนัก จากการทยอยส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคในช่วงที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเข้มแข็งขึ้น กอปรกับแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาคบริการที่ฟื้นตัว
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ2%ในปีนี้เนื่องจากเศรษฐกิจไทย
ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวและเงินเฟ้อไทยจะยังไม่ปรับลดลงเร็วนัก ทั้งนี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้น การทยอยสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน รวมถึงเงินบาทแข็งค่า จะทำให้ภาวะการเงินไทยมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น อยู่ที่ 31.5-32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้ จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็งขึ้น และเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะอ่อนค่าลงหลัง Fed หยุดปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปีนี้
เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดีต่อเนื่อง สอดคล้องกับรายได้ภาคท่องเที่ยวและบริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและการท่องเที่ยวในประเทศ หากพิจารณาด้านการผลิต (Production approach) พบว่า หลายสาขาการผลิตฟื้นตัวได้ดี นำโดยภาคบริการที่ขยายตัวในเกณฑ์สูงตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการท่องเที่ยวในประเทศ
ด้านเศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยข้อมูลจริงทยอยออกมาดีกว่าคาด มุมมองความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยเริ่มปรับลดลง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มชะลอลงจากปีก่อน เงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง แต่จะยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางไปอีก 1-2 ปี เงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้า และเป็นปัจจัยกดดันให้บางธนาคารกลางต้องปรับอัตราดอกเบี้ยไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้นในครึ่งหลังของปี โดยอาจหดตัวเล็กน้อยในบางภาคส่วน เช่น ภาคการผลิต ภาคอสังหาฯ สำหรับเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว แต่เงินเฟ้อพื้นฐานภาคบริการยังคงเร่งตัว ซึ่งเป็นเครื่องชี้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ให้ความสำคัญ จึงประเมินว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤษภาคมสู่ระดับ 5-5.25%จากเดิมที่คาดว่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม
นอกจากนี้ การส่งออกของจีนมีแนวโน้มชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก และความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีนที่อาจปะทุขึ้นอีก ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มฟื้นตัวไม่เข้มแข็งนัก เนื่องจากเงินเฟ้อสูงกระทบการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ ภาคการผลิตและการส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก