บอร์ดบีโอไอปรับยุทธศาสตร์ลงทุนรับรัฐบาลใหม่คาดปีนี้ยอดส่งเสริมพุ่ง 6 แสนลบ.

บอร์ดบีโอไอปรับยุทธศาสตร์ลงทุนรับรัฐบาลใหม่คาดปีนี้ยอดส่งเสริมพุ่ง 6 แสนลบ.
บอร์ดบีโอไอเล็งออกมาตรการใหม่ดึงลงทุนเชิงรุก 4 ปี ดันไทยฐานผลิตชั้นนำระดับโลก ไฟเขียว 6 โครงการมูลค่าลงทุนกว่า 4.1 หมื่นล้าน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) นัดแรกของรัฐบาล โดยมีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ เป็นประธาน โดยมีพิจารณาแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกในระยะ 4 ปีข้างหน้า (2567 – 2570) ควบคู่ไปกับนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ให้ความสำคัญกับ 5 อุตสาหกรรมมีเป้าหมายผลักดันประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG (โดยเฉพาะเกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงานสะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ (โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (โดยเฉพาะต้นน้ำและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ) อุตสาหกรรมดิจิทัลและสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ

นอกจากนี้จะขับเคลื่อน 5 วาระสำคัญเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งตอบโจทย์กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้แก่ 1 การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Transformation) 2. การพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (Technology Development) 3. การพัฒนาและดึงดูดบุคลากรทักษะสูง (Talent Development & Attraction)  4. การส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ (Cluster-based Investment) และ5. การอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน (Ease of Investment)

“บีโอไอจะทยอยออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนของประเทศให้บรรลุเป้าหมายการเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก เช่น การออกมาตรการสนับสนุนการจัดการด้านคาร์บอนเครดิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ มาตรการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมของรัฐหรือที่ดำเนินการร่วมกับรัฐไปผลิตต่อยอดในเชิงพาณิชย์  มาตรการส่งเสริมการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและการจ้างงานในภูมิภาคเพื่อกระจายการลงทุนไปสู่พื้นที่ทั่วประเทศ เป็นต้น”

นายนฤตม์  กล่าวว่า ช่วง 2 – 3 ปีจากนี้ เป็นช่วงที่มีความสำคัญต่อการลงทุนทั่วโลก เพราะมีการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ และเกิดการย้ายฐานการลงทุนมุ่งหน้ามาสู่ภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ถือเป็นโอกาสทองของประเทศไทย เนื่องจากมีความโดดเด่น ด้วยจุดแข็งที่อยู่ใจกลางอาเซียน ขณะที่ยังมีซัพพลายเชนที่พร้อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ การเสนอยุทธศาสตร์เชิงรุกในครั้งนี้ บีโอไอจะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อสร้างมาตรการใหม่ ๆ และพัฒนาระบบนิเวศ เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลกอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

อย่างไรก็ตามที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติการส่งเสริมโครงการลงทุน รวม 6 โครงการ มูลค่า 41,086 ล้านบาท ได้แก่โครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก บริษัท ฉางอัน ออโตโมบิล จำกัด มูลค่าลงทุน 8,862 ล้านบาท 2. โครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะด้วยเครื่องกังหันไอน้ำ บริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าลงทุน 4,892 ล้านบาท

3. โครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะด้วยเครื่องกังหันไอน้ำ บริษัท นิวสกาย เอ็นเนอร์จี (แบงค็อก) จำกัด มูลค่าลงทุน 4,892 ล้านบาท  4. โครงการ Data Center บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด มูลค่าลงทุน 3,586 ล้านบาท  5. โครงการขนส่งทางอากาศ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มูลค่าลงทุน 9,314 ล้านบาท ในการจัดซื้อเครื่องบินโดยสาร จำนวน 5 ลำ และ 6.โครงการสร้างแหล่งท่องเที่ยว บริษัท ส้งเฉิง โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าลงทุน 9,540

สำหรับภาพรวมคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 8 เดือน (ม.ค. – ส.ค.) ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวมทั้งสิ้น 1,375 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 และมีมูลค่าเงินลงทุน 465,058 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งในแง่จำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ โดยมั่นใจภายในปีนี้ ยอดส่งเสริมลงทุนจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ระดับ 6 แสนล้านบาท

ด้านคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 8 เดือนแรก มีจำนวน 801 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เงินลงทุน 365,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 90,346 ล้านบาท อันดับ 2 สิงคโปร์ เงินลงทุน 76,437 ล้านบาทและอันดับ 3 ได้แก่ ญี่ปุ่น เงินลงทุน 40,554 ล้านบาท

ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด ในช่วง 8 เดือนแรกมีการออกบัตรส่งเสริมจำนวน 1,106 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน เงินลงทุนรวม 288,708 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจริงจำนวนมากในระยะ 1 - 2 ปีข้างหน้า

นายนฤตม์  กล่าวถึง แนวโน้มการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ว่า มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง  ที่ผ่านมาได้อนุมัติโครงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 11 โครงการ  ส่วนกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง มีนโยบายให้ความสำคัญกับการลงทุนรถยนต์สันดาปภายใน ต้องการให้เป็นฐานผลิตสุดท้ายของโลกนั้น ที่ผ่านมาบีโอไอได้หารือกับค่ายรถยนต์ในเรื่องมาโดยตลอด และยังคงรักษาฐานการผลิตเครื่องยนต์สันดาปไว้ แต่ขณะเดียวกันก็เสนอให้มีการปรับเทคโนโลยีขยายการลงทุนเพื่อเข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้าไปด้วย

TAGS: #บอร์ดบีโอไอ #EV #BCG #รถยนต์สันดาป