ศรีจันทร์ฯ มองตลาดความงาม 1.7 แสนล้านบาทแข่งขันสูง ส่งแบรนด์ศศิ ชิงตลาดสีสันเปิดตัว 'เก้า-สุภัสสรา' พรีเซ็นเตอร์คนแรกรอบ6 ปี ดันยอดขายโตทะลุ 50% สิ้นปีบริษัทฯ รายได้แตะ พันล้านบาท
รวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ผู้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางแบรนด์ ศรีจันทร์ (SRICHAND) และ แบรนด์ศศิ (SASI) กล่าวว่าปัจจุบันตลาดสินค้าความงามและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (Beauty & Personal care) ในประเทศไทยไม่รวมธุรกิจคลินิก คาดมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1.7 แสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 5-6 % ทั้งจากความต้องการสินค้าของผู้บริโภค และการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ๆในตลาด อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะตลาดความงามและเครื่องสำอางหลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย รวมถึงการเข้ามาของผู้เล่นแบรนด์ท้องถิ่น (Local Brand) ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสูงขึ้น เช่นกัน
“เทรนด์สินค้าความงามในหมวดคัลเลอร์ในตลาดรวม เริ่มทยอยกลับมาเติบโตเป็นไปตามแนวโน้มผู้บริโภค หลังโควิดคลี่คลายและมีความผ่อนคลายการสวมใส่หน้ากากอนามัย จากก่อนหน้าสินค้าความงามกลุ่มนี้ชะลอการเติบโต” รวิศ กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทฯได้วางแผนการทำตลาดเชิงรุกสินค้าความงามและเครื่องสำอางทั้ง 2 แบรนด์อย่างต่อเนื่องนับแต่ต้นปี 2566 ที่ผ่านมา โดยวางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในคอลเล็กชันใหม่ในทุกๆไตรมาส เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการจดจำแบรนด์สินค้าในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบการตลาดสัดส่วน 10-15% ของยอดขาย
ล่าสุดบริษัทฯ เปิดตัวสินค้าแบรนด์ศศิ คอลเล็กชันใหม่ ‘sasi Girls Can SURVIVE’ มาพร้อมคุณภาพผลิตภัณฑ์โดยมีสินค้าเด่นในกลุ่มคัลเลอร์ ลิปสติก รุ่น ลิปกร้าวใจ sasi Can SURVIVE Matte Up และแป้งหน้าล็อก sasi Girls Can SURVIVE Foundation Power เป็นสินค้าเด่น
พร้อมเปิดตัวนักแสดงสาว 'เก้า-สุภัสสรา ธนชาต' มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ศศิ คนแรกหลังแบรนด์ทำตลาดมา 6 ปี โดยยังมาพร้อมกับแคมเปญ #เชื่อศิ You Got This! ก้าวผ่านได้ SURVIVE ทุกแรงกดดัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพลังให้กับกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับแบรนด์ศศิ วางตำแหน่งทางการตลาดสินค้าความงามเครื่องสำอางเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคทั่วไป ในกลุ่มเป้าหมายหลักวัยเริ่มสาว (Beauty Begin) และในกลุ่มหญิงสาวไม่จำกัดช่วงวัย พร้อมวางกลยุทธ์ราคาสินค้าระดับหลักร้อยบาท เพื่อเข้าถึงได้ในวงกว้างในช่องทางหลัก ร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ และร้านค้าปลีกยาและเครื่องสำอาง ทั่วประเทศ
รวิศ กล่าวว่า “ในปี2565 ศศิ ยังได้รีแบรนดิงผลิตภัณฑ์ หลังอยู่ในตลาดมา 6 ปี และมีการเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยในปี 2566 นี้ ศศิมียอดขายเติบโตสูงถึง 50% จากปัจจัย ตลาดกลับมาฟื้นตัวหลังโควิด การได้กลุ่มลูกค้ามากขึ้นจากสินค้าไอเทมลิปสติกที่ขยายตัว และการเพิ่มความถี่ในการจัดกิจกรรมทางการตลาดร่วมกับแบรนด์เพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นในปีนี้”
สำหรับแบรนด์ศรีจันทร์ บริษัทยังมุ่งให้ความสำคัญการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันส่งออกในตลาดประเทศจีน ญี่ปุ่น และ ลาว โดยแบรนด์ศรีจันทร์ มีความแข็งแกร่งในกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางแบรนด์ไทยในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และจากนี้ไปบริษัท ได้เตรียมแผนขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะให้ความสำคัญในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยมีประชากรมากสุดในภูมิภาคนี้
สำหรับปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตราว 30-40% จากปี 2565 แบ่งสัดส่วนเป็นแบรนด์ศรีจันทร์ 70% และอีก 30% เป็นแบรนด์ศศิ โดยปี 2565 มีรายได้ราว 730 ล้านบาท
รวิศ กล่าวอีกว่า "การทำตลาดสินค้าเครื่องสำอางและความในภาพรวมของประเทศไทยนั้น สามารถผลักดันสู่การเป็นซอฟต์พาวเวอร์เพื่อมีส่วนร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพใหญ่ทั้งองคาพยพ เช่นเดียวกับแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งหากรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และการได้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เชื่อว่าเป็นเรื่องดีต่อการสนับสนุนสินค้าความงามไทยให้เติบโตได้ในระดับโลก"
โดยล่าสุดบริษัทยังได้นำแบรนด์เครื่องสำอางศรีจันทร์ เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ (Sponsor Official) ในภาพยนตร์ไทยเรื่องแมนสรวง เพื่อนำแบรนด์ศรีจันทร์สะท้อนสู่ความเป็นแบรนด์ระดับสากลผ่านคอนเทนต์ภาพยนต์ไทย หากนำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเข้าร่วมในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ได้อีกช่องทางหนึ่ง เป็นต้น