ศก.ไทยครึ่งปีหลัง 66 ขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรก รับแรงหนุนท่องเที่ยว-บริโภคภาคเอกชน

ศก.ไทยครึ่งปีหลัง 66  ขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรก รับแรงหนุนท่องเที่ยว-บริโภคภาคเอกชน
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี (H2) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและขยายตัวได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี

 

โดยจะมาจากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยฟื้นตัวใกล้เคียงประมาณการ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดบริการ กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น 

สำหรับการส่งออกจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นในช่วง H2 จากที่หดตัวต่อเนื่องใน H1 อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำจากหลายปัจจัย อาทิ

1) การกลับมาของเอลนีโญที่เห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตร โดยข้อมูลน้ำฝนในเดือนมิ.ย. สะท้อนว่าพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก อาจประสบภาวะฝนแล้งรุนแรงมากกว่าที่ SCB EIC คาดไว้ในเดือน พ.ค. 

2) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง อาจเป็นไปได้ที่จะล่าช้าถึงปลายเดือน ต.ค. หลังพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 

3) ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังเปราะบางจากรายได้ไม่พอรายจ่าย และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้อีกนาน มีแนวโน้มจะก่อหนี้เพิ่มเติมมากกว่ากลุ่มอื่น และ 

4) ภาคธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางสูงขึ้น  SCB EIC คาดว่าบริษัทราว 16% มีความเสี่ยงเป็นบริษัทผีดิบ (Zombie firms) ในปี 2566 ส่วนหนึ่งจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรฐานการให้สินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น

เงินเฟ้อทั่วไปของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวและผลจากปัจจัยฐาน สำหรับนโยบายพยุงราคาพลังงานในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภาระต่างๆ ที่ภาครัฐเคยสนับสนุนไว้และการรักษาสมดุลของค่าครองชีพประชาชน มากกว่าการปรับตัวตามทิศทางราคาพลังงานโลก ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มจะชะลอลงช้ากว่าจากการทยอยส่งผ่านต้นทุนจากผู้ประกอบการมายังราคาผู้บริโภค

SCB EIC คาดว่านโยบายการเงินไทยจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ Terminal rate ที่ 2.5% ในไตรมาส 3 ตามปัจจัยเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเงินเฟ้อที่แม้จะกลับมาอยู่ในกรอบแต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ และปัจจัยดอกเบี้ยที่แท้จริงควรกลับเป็นบวก ภาวะการเงินไทยจึงมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง 

ในระยะสั้นเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าและผันผวนสูงจากหลายปัจจัย ในระยะสั้นคาดว่าระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางเงินบาท ในช่วงปลายปีคาดว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าที่ราว 32.80-33.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่จะปรับลดลง เงินดอลลาร์สหรัฐที่จะกลับมาอ่อนค่าหลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย

TAGS: #ภาคการบริโภค #การท่องเที่ยว