ปตท.สผ. มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ เดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศตามแผนกลยุทธ์ ปี’69 ตั้งตั้งเป้าหมายการขายปิโตรเลียมเติบโต 8%
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ได้กำหนดแผนการลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2569-2573) จัดสรรงบประมาณที่ 33,279 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 1,089,887 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว โดยยังคงมุ่งเน้นสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ
ทั้งนี้เดินตามแผนกลยุทธ์ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (Drive Value) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonize) และการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Diversify)
สำหรับปี 2569 ได้จัดสรรงบประมาณ ไว้ที่ 7,726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 253,027 ล้านบาท) แบ่งเป็นรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure หรือ CAPEX) จำนวน 5,164 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 169,121 ล้านบาท》บและรายจ่ายดำเนินงาน (Operating¡》Expenditure หรือ OPEX) จำนวน 2,562 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 83,906 ล้านบาท) เพื่อรองรับแผนงาน ดังนี้
1.เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ ปลาทอง สตูล และฟูนาน) โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย
นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มการผลิตของโครงการในต่างประเทศที่สำคัญ เช่น มาเลเซีย โอมาน และแอลจีเรีย โดยได้จัดสรรรายจ่ายลงทุน จำนวน 3,605 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 118,064 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว
รวมถึงการดำเนินกิจกรรมซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง และ Scope 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ
ขณะเดียวกันกำหนดเป้าหมายเพื่อลดความเข้ม (Intensity) ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในปี 2573 และร้อยละ 50 ภายในปี 2583 โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนสำหรับกิจกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 118 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 3,865 ล้านบาท) ซึ่งรวมการลงทุนในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทยด้วย
2.เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 โครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี โครงการมาเลเซีย เอสเค417 และโครงการมาเลเซีย เอสเค438 ให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผน โดยบริษัทได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,423 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 46,603 ล้านบาท)
3. เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการต่าง ๆ เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยได้จัดสรรรายจ่ายลงทุน จำนวน 101 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 3,308 ล้านบาท) สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและหลุมประเมินผลของโครงการในประเทศไทย มาเลเซีย เมียนมา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นอกจากการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวแล้ว ปตท.สผ. ให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชน เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายต่อไป
อย่างไรก็ตามจากแผนงานดังกล่าว ปตท.สผ. ได้คาดการณ์ปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวัน (Expected average sales volume) จากโครงการปัจจุบัน ระหว่างปี 2569 – 2573 เฉลี่ย 556,000- 609,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
“ปีหน้าได้ตั้งเป้าปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ย ในอัตรา 556,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการขยายการดำเนินงานทั้งในไทยและต่างประเทศในปี 2568 ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณการขายและรายได้ให้กับบริษัทได้ทันที และส่งผลต่อเนื่องมาถึงปี 2569 และในปีต่อ ๆ ไปด้วย เช่น การเข้าลงทุนในโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการสินภูฮ่อม การเข้าลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท รวมทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการอาทิตย์ สำหรับการเติบโตในช่วง 5 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนจะเริ่มการผลิตปิโตรเลียมจากหลายโครงการในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย แอลจีเรีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมและการเติบโตของบริษัทตามแผนกลยุทธ์” นายมนตรี กล่าว