‘อภิสิทธิ์’หารือ ส.อ.ท.พร้อมร่วมมือภาคเอกชนกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยย้ำต้องดันจีดีพีขยายตัว 5% สร้างภูมิฝ่าปัจจัยเสี่ยง ชี้ 2 โจทย์ใหญ่เร่งแก้คอร์รัปชั่นและปฏิรูปการศึกษา
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังให้การต้อนรับคณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อประชุมหารือแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ว่า เศรษฐกิจไทยในวันนี้ เปรียบได้กับ “รถที่ติดหล่ม” ต้องใช้แรงมหาศาลในการดึงขึ้นมา ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งเครื่องนโยบายจากภาครัฐ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ประกาศนโยบาย “Quick Big Win” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้หนี้ เพิ่มสภาพคล่อง และฟื้นการท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญอีกครั้ง
ทั้งนี้ได้นำเสนอความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทย อาทิ 1. มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ 2. ปัญหาสินค้าทุ่มตลาด/สวมสิทธิ์ส่งออก 3. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 4. ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน 5. หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ 6. ค่าเงินบาทแข็งค่า 7. ผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ 8) ธุรกิจสีเทาและอาชญากรรมไซเบอร์ ตลอดจนปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสังคมผู้สูงอายุ กับดักรายได้ปานกลาง ระบบการศึกษา การเมือง งบประมาณไม่สมดุล คอร์รัปชันและกฎหมายล้าสมัย
ทั้งนี้ ได้แบ่งข้อเสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ออกเป็น 8 ด้าน ได้แก่ 1.การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) และเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยยกระดับการปฏิรูปกฎหมายเป็นวาระแห่งชาติด้วยวิธี Omnibus Laws และ Regulatory Guillotine ปรับปรุงกฎหมายระดับรองที่สามารถดำเนินการได้ทันที รวมทั้งผลักดันร่าง พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก ยกระดับการให้บริการภาครัฐ
2.การพัฒนาบุคลากร เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานทั้งระบบ โดยปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคี พิจารณาให้สอดคล้องตามปัจจัยทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่
3.การบริหารจัดการด้านพลังงานทั้งระบบ รองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) โดยเร่งทบทวนและผลักดันแผนพลังงานชาติ (NEP) ฉบับใหม่ ทบทวนโครงสร้างพลังงาน เพื่อลดต้นทุนพลังงาน/ไฟฟ้า และสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อให้แก้ไขปัญหาพลังงาน
4.การส่งเสริมการส่งออก การค้า และสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve โดยเร่งสร้างกลไกและแผนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curve เร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับสินค้า Made in Thailand (MiT) รวมทั้งปกป้องสินค้าไทยโดยการควบคุมสินค้านำเข้าที่ไม่ได้คุณภาพ
5.การยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล โดยสนับสนุนการลงทุนพัฒนาไปสู่ Digital Transformation 4.0 ส่งเสริมการขับเคลื่อนโจทย์นวัตกรรมรายกลุ่มอุตสาหกรรม เชื่อมโยงสถาบันการศึกษา รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ สนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
6.การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (BCG & ESG) การบริหารจัดการทรัพยากรนํ้า และการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เตรียมความพร้อมในการรับมือมาตรการ Climate Change รวมทั้งนำกากอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ เป็นวัสดุหมุนเวียน (Circular Materials) การใช้ประโยชน์ใหม่ (Waste symbiosis)
7.การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs โดยผลักดัน SME ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุม SME Size M ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อ
8.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน Logistics และพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรม โดยทบทวนการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เพิ่มขีดความสามารถการส่งออก นำเข้าไทย รวมทั้งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ ส่งเสริมการค้าชายแดนผ่านแดนของไทย
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคประชาธิปัตย์เชื่อมาโดยตลอดว่า กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริงคือ ภาคเอกชน และบทบาทของภาครัฐ คือ การสร้างกติกาสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ทางภาคเอกชนทำงานได้ดีที่สุด วันนี้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และแนวโน้มใหม่ๆ
รวมถึงปัญหาภายในประเทศที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเมือง จำเป็นจะต้องหาแนวทางใหม่เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากกับดักหรือหล่มที่เผชิญอยู่ วันนี้ตนและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ได้วางกรอบทิศทางไว้หลายประเด็น
ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดยเฉพาะการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโต ที่นับวันยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ ที่จำเป็นต้องทำให้อัตราการเจริญเติบโตกลับไปโตที่ประมาณ 5 % เพราะหากตัวเลขยังเติบโตในระดับที่ 2 % แบบปัจจุบัน ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น สังคมสูงวัย การจัดสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้น เราต้องแสวงหาเครื่องจักรตัวใหม่หรือกระบวนทัศน์ใหม่ในการที่จะขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ ให้เกิดการผสมผสานในภาพรวม
นอกจากเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นโจทย์ใหญ่มี 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ การทุจริตคอร์รัปชั่น ที่เป็นความท้าทายและต้องยอมรับว่าเป็นตัวสร้างปัญหาปั่นป่วนและทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและบั่นทอนขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องเริ่มต้นที่บ้านเมืองที่สุจริตอย่างเอาจริงเอาจัง และให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและอันตรายตรงนี้ และเรื่องที่สองที่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ คือ การพัฒนาทักษะคน โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่เรื้อรังและยืดเยื้อมานาน ที่จะไม่ใช่เรื่องการให้ความรู้อีกต่อไป แต่จะเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้และมีความยืดหยุ่น รวมถึงการมีหลักสูตรที่รับรองเป็นรายทักษะที่มากขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับประเทศไทยในการเป็นประธานอาเซียนในปี 2571 ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากอาเซียนให้เกิดเป็นความร่วมมือระหว่างกัน รวมถึงนโยบายทางการเงินเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงโดยไม่กระทบกับระบบสถาบันทางการเงิน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนและพรรคประชาธิปัตย์พยายามแสวงหาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาช่วยเสริมสร้างและผลักดันประเทศให้ไปสู่เป้าหมาย ตลอดจนสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ตรงกับมุมมองของพรรคฯ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตต่อไป